อ้วนลงพุง รู้ได้อย่างไร มีผลต่อร่างกายอย่างไร

ไม่น่าถามนะ ว่าอ้วนลงพุงหรือเปล่า ? ดูด้วยตาก็รู้  ใช่ครับ ดูด้วยตาก็รู้ แต่มันขนาดไหนกันที่เรียกว่า อ้วนลงพุง แล้วมันมีอะไรที่เป็นสัญญาณ หรือข้อบ่งชี้บ่งบอกว่าเราอ้วนลงพุงล่ะ ! มาดูกันครับ

bikini-841082_1280คนอ้วนลงพุงเราก็เห็นมากมายในเมืองไทยอันอุดมสมบูรณ์ของเรา ซึ่งก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไปแหละ แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่มันชัดเจน เจ๋งเป้ง คือ มีพุง ล้ำหน้ามากกว่าคนปกติทั่วไปนั่นเอง หรือหลายคนจะบอกว่ายืนตรง แล้วก้มมองปลายเท้าดูว่ามองเห็นหรือเปล่า ? ก็ได้ครับวิธีนั้น แต่เรามีวิธีที่เป็นหลักเป็นการหน่อย คือ การวัดที่รอบเอวซะเลย หาสายวัดมาวัดรอได้เลยครับ แล้วมาดูว่าผลจะเป็นอย่างไร โดยไม่ควรมีรอบเอวเกินจากนี้ มีค่าเกณฑ์แยกชายหญิงดังนี้ครับ เกินจากนี้ถือว่าอ้วนลงพุง

slimming-2728331_1920

ผู้ชาย ที่มีรอบเอวเกิน 90 เซนติเมตร (ประมาณ 35.5 นิ้ว)

ผู้หญิง ที่มีรอบเอวเกิน 80 เซนติเมตร (ประมาณ 31.5 นิ้ว)

เมื่อเรามีขนาดรอบเอวเกินมาตรฐาน แล้วยังไง ? ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ไม่มีอะไรก็ดีไปครับ แต่เรามักจะตรวจเจออาการอื่นๆ แอบแฝงมากับมวลไขมันรอบเอวของเราหลายอย่างด้วยกัน คือ

  • ความดันโลหิตสูง มากกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท
  • น้ำตาลในเลือดสูง ตั้งแต่ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
  • ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูง ตั้งแต่ 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
  • คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL Cholesterol) ต่ำกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรสำหรับผู้ชาย หรือต่ำกว่า 50 ลิลลิกรัมต่อเดซิลิตร สำหรับผู้หญิง

ส่งท้ายกันด้วยสัญญาณเตือนที่มาพร้อมกับความอ้วน

headache-2058476_1920บางครั้ง อาการปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะอาจเป็นสัญญาณที่กำลังบ่งบอกเราว่า เส้นเลือดสมองของเรากำลังทำงานผิดปกติ หรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเข้าขั้นเบาหวานอาจมีอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย หากความผิดปกติแบบนี้มาเยือนร่างกายเวลาเดียวกับที่รอบเอวที่เพิ่มขึ้น นั่นก็หมายความว่าโรคร้ายต่างๆ ได้เริ่มเข้าใกล้คุณมากกว่าที่เราคิดแล้วครับ

อยู่ที่พวกเราทุกคนแล้วละครับ ว่าอยากเก็บพุงไว้ หรือขจัดมันออกไป เพื่อสุขภาพดีมีสุขของเรา อยู่กันยาวๆ ปาย

ลิงค์แนะนำ ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 77 เหลือ69

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

อยู่ในรถยนต์เสี่ยงตายกับมลพิษมากกว่าที่คุณคิด

ประเทศไทยได้รับเกียรติถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่รถติดที่สุดในโลก (ขอเสียงปรบมือหน่อยครับ) กรุงเทพมหานครของไทย ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่รถติดมากที่สุดอันดับที่ 12 ของโลกในช่วงที่มีการจราจรคับคั่ง คนมากมายหลายคน เชื่อว่าการอยู่ในห้องโดยสารของรถยนต์ปลอดภัยจากมลภาวะทางอากาศเป็นพิษที่อยู่บนท้องถนน แต่ศาสตราจารย์ Sir. David King จากมูลนิธิศึกษาปอด ของอังกฤษ กล่าวว่า จากงานวิจัยหลายชิ้นซึ่งเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2001 ชี้ว่า ผู้ที่อยู่ในรถยนต์บนท้องถนน ต้องสูดมลภาวะเป็นพิษมากกว่าผู้ที่เดินหรือขี่จักรยานอยู่บนท้องถนนเดียวกัน โดยเด็กเล็กเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพปอดของเด็กแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กอีกด้วย

Processed with MOLDIV

ข้อมูลที่น่าสนใจ

     92%  ของคนทั่วโลกใช้ชีวิตท่ามกลางสภาวะอากาศที่อันตรายเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยขององค์การอนามัยโลก

     6.5 ล้านคน หรือ  11.6%  ของผู้เสียชีวิตทั่วโลกเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศทั้งในพื้นที่เปิด และพื้นที่ปิด

Processed with MOLDIV

     ห้องโดยสารภายในรถยนต์ที่เหมือนจะปลอดภัยนั้น ก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะ มีมลพิษสูงกว่าภายนอกรถถึง 15 เท่า!!***

     ผู้คนมักจะคิดว่า ในขณะที่ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิทแล้วอยู่ภายในรถเราก็จะปลอดภัยจากมลภาวะ แต่ในความจริงก็ยังมีช่องว่างที่ฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก และมลพิษต่างๆ เล็ดลอดเข้ามาได้ ช่องระบายอากาศที่ปล่อยให้อากาศจากด้านนอกเข้ามาก็เป็นอีกปัจจจัยสำคัญที่ก่อมลพิษให้เข้มข้นขึ้นจนเป็นอัตรายต่อสุขภาพได้

Processed with MOLDIV

ไม่เพียงแต่มลพิษจากภายนอกรถเท่านั้น สิ่งที่อยู่ในห้องโดยสารก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน

  1. กรองแอร์รถยนต์ เป็นที่ชื้น มืด และไม่ปลอดโปร่ง ซึ่งเชื้อรา ไวรัส และแบคทีเรีย ชอบมาก เพราะสามารถแพร่พันธ์ุได้อย่างรวดเร็ว
  2. การตกแต่งภายในรถยนต์ จำพวกวัสดุต่างๆ เช่น หนังและพลาสติก กาว สีรถ ซึ่งสามารถปล่อยแก๊สฟอร์มาลดีไฮด์ได้ ที่เป็นอันตรายต่อทุกคนภายในรถได้
  3. พฤติกรรมคนใช้รถ คนขับรถและผู้ที่นั่งในรถคืออีกปัจจัยที่นำฝุ่นละอองเข้ามา เมื่อรวมกับกลิ่นสัตว์เลี้ยงและกลิ่นไม่พึงประสงค์อื่นๆ อย่าง อาหารที่นำมากิน น้ำหอมปรับอากาศ ตัวเคลือบหนังทำความสะอาด รวมไปกับฝุ่นละอองจากภายนอกรถ ก็ยิ่งเพิ่มระดับของมลพิษในห้องโดยสารขึ้นเป็น 2 หรือ 3 เท่า
ผลลัพธ์ ที่เกิดจากมลพิษทางอากาศภายในห้องโดยสารรถยนต์
มลพิษที่เข้าไปสะสมในส่วนต่างๆ ของร่างกายผ่านการหายใจทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ อย่างเช่น โรคหอบหืด โรคปอด และหลอดลมอักเสบเรื้อรัง  จนอาจพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นโรคมะเร็งโพรงจมูกและมะเร็งปอด มลพิษบางชนิดยังค่อยๆ ลดออกซิเจนที่ส่งเข้าไปในอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย ลดการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ทำลายปอดและระบบประสาท ซึ่งมีผลต่อกระบวนการรับรู้และการพัฒนาสติปัญญาในเด็กเล็กๆ อีกด้วย

วิธีป้องกัน ไม่ให้เราต้องเผชิญมลพิษภายในรถยนต์จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

  1. ควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ ดักจัดการมลพิษทางอากาศมันตั้งแต่ต้นทางเลย โดยไอเสียจากรถยนต์เป็นแหล่งใหญ่สุดที่ทำให้เกิดมลพิษในเมือง ดังนั้น จึงควรจะควบคุมไอเสียให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นคือหลีกเลี่ยงการขับรถโดยไม่จำเป็น  บำรุงรักษารถให้เหมาะสม  เพื่อจะได้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของรถไม่ให้ปล่อยมลพิษทางอากาศออกมามากเกินไป
  2. เพิ่มการถ่ายเทอากาศภายในรถ ด้วยการปล่อยให้อากาศข้างนอกเข้าในรถมากขึ้น โดยเปิดหน้าต่าง หรือเปิดเครื่องปรับอากาศ โดยเปิดช่องระบายลม หากจะใช้วิธีนี้ควรขับอยู่ นอกเมืองในวันที่อากาศเย็น ในที่ที่มีมลพิษในอากาศต่ำ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการเอามลพิษทางอากาศเข้ามาในรถมากขึ้นไปอีก
  3. ติดตั้งเครื่องกรองอากาศภายในรถยนต์ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศของห้องโดยสารในรถยนต์ได้ดี วิธีนี้อาจพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆว่า “เมื่อหนี ไม่ได้ก็ต้องสู้กับมันนั่นเอง”  สะดวก ง่าย ปลอดภัย

Photo : pixabay.com

คลิกลิงค์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายในรถยนต์

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ลดน้ำหนักกินสารอาหารอย่างไร ให้น้ำหนักลดดั่งใจ

“กินอะไรดี กินอะไรดี” เรามักจะได้ยินบ่อย ๆ ตอนมื้อที่เราจะกินข้าว แล้วก็จะมีคำตอบออกมาว่า “ไม่รู้เหมือนกัน กินอะไรก็ได้ กิน ๆ ไปเหอะให้มันอิ่มก็พอ” ผมล่ะเป็นบ่อย แบบว่าพอเที่ยงทีไร มันมึนงง ไม่รู้จะกินอะไร ก็เลยกินส่งเดช อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นนั่นแหละ ผลเหรอครับ อ้วนดิครับผม กินแบบไม่คิดอะไร ไม่คิดว่ามันจะมีผลอะไรกับรูปร่าง สุขภาพของเรา ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า คนลดน้ำหนักต้องกินยังไง น้ำหนักถึงจะลดได้อย่างที่ตั้งใจ

Processed with MOLDIV

อัตราส่วนของสารอาหารที่เรากินในแต่ละมื้อ เป็นสิ่งสำคัญที่ชี้ว่าเราจะลดน้ำหนักได้ตามที่ต้องการหรือไม่ เพราะอัตราส่วนของสารอาหารสำหรับคนแต่ละประเภท แต่ละกลุ่มจะไม่เท่ากัน คือ

  1. คาร์บสูง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการบิ้วบอดี้ คนที่กิจกรรมมาก เป็นนักกีฬา ต้องการเพิ่มน้ำหนัก ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เพราะคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใช้พลังงานสูง จึงต้องการพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตสูง แบบว่ากินเข้าไปเยอะ แต่ก็ใช้หมด ปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินไม่เกิด แบบว่ากินไป 2,000 แคลอรี่ ใช้ไป 2,000 แคลอรี่ ก็ไม่มีเหลือเก็บเป็นไขมันสะสมตามตัว แต่ถ้าไม่ได้เป็นคนในกลุ่มนี้ แล้วกินแบบนี้ รับรองน้ำหนักเพิ่มพรวดแน่นอน ไม่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก
  2. คาร์บปานกลาง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคงน้ำหนักตัว คนที่ต้องการรักษาสุขภาพทั่วไป คนที่ต้องการรักษาน้ำหนัก คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง หรือเป็นไฮเปอร์ไธรอยด์ กินแบบกลาง ๆ สมดุลเพื่อคงน้ำหนักตัวไว้
  3. คาร์บต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ที่อ้วนส่วนใหญ่ก็เพราะกินคาร์โบไฮเดรตเยอะ พลังงานก็เยอะ โดยพลังงานจากแป้งที่เหลือจากการใช้ในชีวิตประจำวัน จะเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บสะสมได้ง่ายที่สุด เพราะฉนั้นคนที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ถึงต้องลดคาร์โบไฮเดรตให้ต่ำ เพิ่มโปรตีนให้มาก เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้สูงขึ้น ทำให้น้ำหนักของเราจะค่อย ๆ ลดลง ระบบการเผาผลาญดีขึ้น ยังรวมถึงคนเป็นเบาหวาน คนมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหารด้วย ที่ต้องการคาร์บต่ำ

food-platter-2175326_1920

รู้แบบนี้แล้ว ก็ยังมีปัญหาอีกนะครับ คือ ตอนปฏิบัติมันช่างยากแสนยากในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะชีวิตคนเมือง ทำงานประจำ เวลาน้อย จะมานั่งกิน เท่านั้น เท่านี้ แค่คิดก็ยากแล้ว แถมต้องรีบกินด้วย ต้องทำงานต่อ เฮ้อ! เปงลมดีก่า เรามาเน้นกันเฉพาะคนที่ลดน้ำหนักว่า จะมีวิธีกินอย่างไรให้ง่ายที่สุดในชีวิตประจำวัน ลองวิธีนี้ดูที่ผมใช้ประจำ

  1. ลดข้าวลงครึ่งนึง เอามันง่าย ๆ แบบนี้แหละ เพราะคนไทยกินข้าวเป็นอาหารหลัก และกรุณาลดหรือแบ่งก่อนที่จะลงมือกินนะครับ
  2. สั่งกับข้าวเน้นโปรตีนที่เป็นโปรตีนจากปลาเป็นอันดับแรก ถ้าไม่มีก็หมู และไล่ไปเนื้อวัวหลังสุด โปรตีนจากปลาย่อยง่ายที่สุด ของแถมน้อยสุด
  3. ไขมันไม่ต้องไปสนใจที่จะเพิ่ม เพราะมันมีอยู่ในอาหารที่เขาทำหรือปรุงขายอยู่พอสมควรแล้ว ไม่ขาดแน่ ๆ อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ควรระวังว่าจะเกินดีกว่า ระวังอาหารผัด หรือทอดให้มาก ๆ เข้าไว้

ต่อให้ทำอย่างที่ผมบอกก็ไม่ง่ายในบางครั้งนะครับ เพราะเราไม่ได้ทำอาหารกินเอง ไม่มีเวลา เลยต้องมาซื้อกิน ชีวิตคนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ เราเลยอาจต้องพึ่งพิงอาหารเสริมบ้างครับ เพื่อ

  1. เสริมโปรตีน เพื่อให้ร่างกายของเราได้สารอาหารโปรตีนที่เพียงพอ ปกติเราควรได้รับโปรตีน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ต่อวัน ไม่น่าเชื่อว่าคนไทยโดยส่วนใหญ่ขาดโปรตีน เพราะอะไรเหรอครับ ลองคิดดู สมมุติผมหนัก 69 กก. แสดงว่าผมต้องการโปรตีน 69 กรัม ผมต้องกินเนื้อไก่ 250 กรัม ถ้าเป็นโปรตีนจากไข่ไก่เบอร์ใหญ่สุดก็ต้องกิน 12 ใบ กินยังไงไหว หรือถ้าเป็นโปรตีนจากเนื้อปลาก็ต้องกินถึง 310 กรัม คิดดูสั่งกะเพราไก่มาจานนึงคิดว่าไก่กี่ชิ้น คิดยังไงก็ไม่พอเพียงครับ การเสริมจึงเป็นทางเลือกสำหรับคนในยุคปัจจุบัน แถมโปรตีนยังช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญของเราให้สูงขึ้นด้วย
  2. ใช้ตัวช่วยลดการดูดซึมแป้ง และน้ำตาล ด้วยเหตุผลว่าคนไทยกินข้าวเป็นหลัก เหมือนเขาว่ากินอะไรก็ไม่อิ่มเหมือนกินข้าว แถมเดี๋ยวนี้กินข้าวเสร็จต้องตบท้ายด้วย น้ำชง หวานอร่อยชื่นใจอีกสักแก้ว สดชื่น แคลอรี่เต็ม ๆ ไขมันเพิ่ม น้ำหนักเกิน 555555 อย่างง่ายดาย เราสามารถกินเพื่อระบายความอยาก อัดอั้น แต่แคลอรี่เข้าร่างกายน้อยลงได้มั๊ย ? ขอบอกว่าได้ครับ ด้วยการกินตัวบล็อกแป้ง น้ำตาล แต่ก็แลกมาด้วยการต้องจ่ายเงินเพิ่มซื้อตัวบล็อกแป้ง น้ำตาลมากิน แต่ถ้าใครสามารถควบคุม มีวินัยไม่กินแป้ง น้ำตาลได้ก็ไม่ต้องเสียตังค์ครับ อันนี้ก็คิดพินิจ พิจจารณาดูนะครับ ตามความเหมาะสมของเราเอง
  3. ช่วยให้อิ่มด้วย ตัวทดแทนมื้ออาหาร ที่ให้สารอาหารครบถ้วน ให้พลังงานต่ำ โดยเฉพาะกลุ่มวิตามิน และกลุ่มเกลือแร่ที่จำเป็น ใยอาหาร (ไฟเบอร์) ส่งผลให้เราสามารถควบคุมแคลอรี่ได้แม่นยำ ทำให้น้ำหนักลดลงได้ง่ายขึ้น สะดวก ที่สำคัญระบบการเผาผลาญไม่เสียหายจากการที่สารอาหารไม่ครบด้วย

ทั้งนี้  ทั้งนั้น การเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักให้สำเร็จได้ผลที่ต้องการแล้ว วินัย คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราทำได้สำเร็จครับ แล้ววินัยคืออะไร ในความหมายของผมนะ วินัย คือ การลงมือทำ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่สำเร็จ ไม่เลิก เอาให้มันรู้กันไปว่า ตรูก็แน่จริง เอ็งไม่มีวันชนะข้าหรอก คุณไขมัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า จงออกไป จงออกไป จงออกป๊าย!!!

ลิงค์แนะนำ ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 77 เหลือ69

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

4 หลักคิดพิชิตการออกกำลังกาย ให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม

ส่วนหนึ่งของการมีสุขภาพ และรูปร่างที่ดี คือต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มะช่าย ปะเดี๋ยว ปะด๋าว เห่อ คึกเป็นพัก ๆ ตอนพักก็พักซะยาวนานเลย แต่ถ้ากินละก็ขอกินนาน ๆ หึหึ!!! แล้วถ้าอยากออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วน เพื่อสร้างความแข็งแรง หรือเพื่อเล่นกีฬาให้ดีขึ้น มันต้องคิดยังไง วางแผนแบบไหนดี เพื่อให้เราออกกำลังได้อย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัยของเราไปเลย มาดูกันกับ 4 หลักคิดพิชิตการออกกำลังกาย ตามนี้เลยครับ

  1. บ่อยแค่ไหน ถามใจเธอดู ความบ่อยของการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน หรือนาน ๆ นานมาก ถึงได้ออกกำลังกาย ควรเริ่มจากบ่อยน้อยไปหาบ่อยมากก่อนดีที่สุด มิเช่นนั้นอาจจะบาดเจ็บกล้ามเนื้อได้ อย่าหักโหมครับ พอดีกับตัวเองดีที่สุด แนะนำเลย ออกกำลังกายวันเว้นวันหรือสัปดาห์ละประมาณ 3 วัน เนื่องจากกล้ามเนื้อจะใช้เวลา ในการฟื้นฟูร่างกายให้กลับสู่สภาพพร้อมออกกำลังกายอีกครั้งต้องใช้เวลา 48 ชั่วโมง แต่ในคนที่มีการออกกำลังกายบ่อยเป็นประจำอยู่แล้ว เราสามารถเพิ่มวันได้แต่ไม่ควรเกิน 6 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างน้อย 1 วัน หรือ 24 ชั่วโมง
    1. บ่อยแค่ไหน กับการออกกำลังกาย

    1. บ่อยแค่ไหน กับการออกกำลังกาย (เครดิตภาพ https://pixabay.com)

     

  2. หนักแค่ไหน  ความหนักในการออกกำลังกาย ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการออกกำลังกาย เช่น ออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วน จะต้องควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในช่วง 60-70% ของอัตราการเต้นสูงสุด เพราะช่วงนี้จะมีอัตราการใช้พลังงานจากไขมันสูงที่สุด จึงเหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนักที่สุด แต่ถ้าเราต้องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพให้อยู่ในช่วง 50-60% เป็นต้น  แล้วอัตราการเต้นสูงสุดมาจากไหน มีวิธีคิดแบบนี้ครับ ง่าย ๆ คืออัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดของแต่ละคนจะเท่ากับ  220 – อายุเช่น เรามีอายุ 49 ปี เราจะมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดเท่ากับ  220 – 49  =  171 ครั้งต่อนาทีหรือ น้องลำไย อายุ 18 ปี ลำไยจะมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดเท่ากับ  220 – 8  =  202 ครั้งต่อนาทีจะเห็นได้ว่าอัตราการเต้นของหัวใจนั้น ยิ่งเรามีอายุที่มากขึ้นหัวใจก็จะทำงานได้ช้าลง และถ้าหากหัวใจของเราเต้นเกือบถึงอัตราสูงสุดหรือเทียบเท่า ก็มีโอกาสที่จะไปเฝ้ายมบาลได้เนื่องจากหัวใจจะทำงานหนัก เพื่อบีบเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่ายกายไม่ทันและทำให้เราเกิดอาการช็อคได้ครับผม
    2.

    2. หนักแค่ไหน ถึงโอเค (เครดิตภาพ https://pixabay.com)

     

  3. นานแค่ไหน  การที่เราจะออกกำลังกายนานแค่ไหนนั้น จะต้องสอดคล้องกับความหนักในข้อ 2 ด้วยครับ โดยให้ยึดหลักดังนี้ หากมีความหนักมากก็จะใช้เวลานานน้อยลง แต่ถ้ามีความหนักน้อยก็จะใช้เวลานานมากขึ้น โดยปกติแล้วการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพโดยรวมทั่วไป ควรอยู่ที่ 20-30 นาทีต่อครั้งเป็นอย่างน้อย มากกว่านี้ก็ได้นะครับ ไม่ผิดกติกาใด ๆ
    3.

    3. นานแค่ไหน ถึงจะดี (เครดิตภาพ https://pixabay.com)

     

  4. เลือกไรดี การออกกำลังกายมีมากมาย เช่น ว่ายน้ำ วิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน ยกน้ำหนัก เป็นต้น เอาที่ชอบ เอาที่ถนัด ทำให้เราวางแผนการออกกำลังกายได้ง่ายและไม่เบื่อ ซึ่งชนิดของการออกกำลังกายแต่ละอย่างจะมีความหนักแตกต่างกัน อย่างการวิ่งอยู่ที่การคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ในขณะที่ความหนักของการเล่นเวทเทรนนิ่งจะอยู่ที่น้ำหนักที่ใช้และจำนวนครั้ง ถ้าเราต้องการออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก เราควรออกกำลังกายผสมกันระหว่างแบบที่เน้นการเผาผลาญ เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก และแบบเพิ่มสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เวทเทรนนิ่ง บอดี้เวท เป็นต้น เหตุผลก็เพราะว่า แบบเน้นการเผาผลาญจะเผาผลาญพลังงาน และดึงเอาไขมันของเราออกมาใช้งานให้หมดไป แต่มันจะเผาผลาญตอนที่เราออกกำลังเท่านั้น ส่วนแบบเพิ่มกล้ามเนื้อ จะทำให้มวลกล้ามเนื้อของร่างกายของเราเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญเพิ่มมากขึ้น ค่า BMR เพิ่มมากขึ้น วันไหนไม่ได้ออกกำลังกายอัตราการเผาผลาญก็ยังสูงอยู่ดีทำให้เราอ้วนยากครับผม
    4.

    4. เลือกไรดีล่ะ (เครดิตภาพ https://pixabay.com)

    หลังจากที่เราตัดสินใจที่จะออกกำลังกายกันแล้ว เราควรที่จะวางแผนการออกกำลังกายก่อน โดยใช้ 4 หลักคิดพิชิตการออกกำลังกาย ให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้การออกกำลังกายของเราสัมฤทธิ์ผล คือ มีวินัย ในการทำตามแผนการที่เราวางแผนไว้ แค่นี้รูปร่างฟิตแอนด์เฟิร์มก็เป็นของเราทุกคน

ลิงค์แนะนำ : 3 ท่า 5 นาที สร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มเผาผลาญให้หุ่นดีเว่อร์! ปัง!!!

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

5 เหตุผลที่ทำให้ การลดน้ำหนักล้มเหลว ไม่เป็นท่า!

แต่น แตน แต๊น !!! อยากทราบมั๊ยคร้าบว่า ทำไมหลายคนถึงลดน้ำหนักแล้ว ล้มเหลวไม่เป็นท่า เสียเงินก็ตั้งเยอะ เป็นแบบนี้ก็เซ็งห่านสิครับ มากกว่าเซ็งเป็ด อิอิ!! วันนี้ผมมีคำตอบมาบอกเพื่อน ๆ ทุกคนว่า “มันเป็นพันนี้ได้ พันพรือหล่าว เจ็บหัวเหม็ด” แปลเป็นสำเนียงกลาง “มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ปวดหัวเลย” อ่านแล้วจะได้รู้ และหายปวดศีรษะแน่นอน เชิญสดับอ่าน 5 เหตุผลที่ทำให้ การลดน้ำหนักล้มเหลว ไม่เป็นท่า!

  1. ไม่วางแผนล่วงหน้า  การไม่วางแผนล่วงหน้าหรือไม่มีการจัดการกับแผนควบคุมน้ำหนักของเราเป็นสาเหตุของความล้มเหลว การมีแผนหมายความว่าเรารู้ว่าจะออกกำลังกายเมื่อไร จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตอย่างไร และจะต้องระวังอย่างไรในอาหารที่เรารับประทาน เพราะการลดน้ำหนักด้วยการควบคุมนับแคลอรี่ เราต้องรู้ว่า แคลอรี่ที่กำหนดเท่าไหร่ในแต่ละวัน  จากประสบการณ์ของผมพบว่า ถ้าผมไม่วางแผนก่อนล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้ไปทำงาน ผมจะกินอะไร เช้า เที่ยง เย็น แคลอรี่มักจะเกินที่กำหนดทุกทีไป ส่งผลให้น้ำหนักไม่ลดลง นิ่ง นี่คือการกินรับแคลอรี่เข้าไป ส่วนการใช้แคลอรี่ก็ต้องวางแผนเป็นสัปดาห์ดีที่สุด คือต้องวางแผนว่า จะออกกำลังกายอะไร แบบไหน วันไหนบ้าง หรือวันนี้จะเดินขึ้น ลง บันได้แทนลิฟท์ เราจะเดินให้ครบ 10,000 ก้าว เป็นต้น บางคนบอกว่า ยุ่งยากจัง ผมจะบอกว่าที่มันยุ่งยากต้องมาลดน้ำหนักกัน ก็เพราะที่ผ่านมาเราทำตัวง่ายกันเกินไป กินง่าย อยากกินก็กิน อร่อยก็กินเยอะ ง่าย ๆ ไม่เคยเลือกอาหารที่กิน อะไรฉันก็กินได้ อยู่ง่ายไม่ขยับตัว นั่งตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น เอาความสะดวกง่ายเข้าว่า เหมือนดี แต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ รูปร่างที่เคยสวยงาม กลายเป็น ตุ่ม ถัง ไห กะละมัง ถังเบียร์ ตามแต่เพื่อนจะตั้งมาให้เจ็บกระดองจายเล่น ๆ ฮือ ฮือ !!!!
    ไม่วางแผนล่วงหน้า

    1. ไม่วางแผนล่วงหน้า ก็วางแผนล่วงหน้าซะ (เครดิตภาพ https://pixabay.com)

     

  2. ไม่ได้วางแผนอย่างเหมาะสม  โปรแกรมการควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ทำให้มั่นใจได้ว่าเรามาถูกทาง และอยู่ในการควบคุมเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นและให้กำลังใจเราอีกด้วย การลดน้ำหนักไม่ใช่แค่สูตรสำเร็จเดียวที่ได้ผลสำหรับทุกคน เพราะรูปแบบการดำเนินชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การลดน้ำหนักไม่ใช่แค่เพียงแคลอรี่ที่เรากิน และใช้ ยังมีเรื่องของอาหารต่าง ๆ ที่เรากิน รวมกับรูปแบบการดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ อีก 6 ด้านที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการลดน้ำหนัก ได้แก่ ประเภทอาหาร  กิจกรรม  ทัศนคติ  ความเครียด  การนอน  และนิสัยการกินอาหาร จากประสบการณ์ของผมพบว่า  ยกตัวอย่างเรื่อง การนอน  แค่ผมนอนดึก นอนน้อยไม่ครบ 7-9 ชม. เช้ามาวัดด้วยสายรัดข้อมือ อินบอดี้ย์  ผลมวลไขมันเพิ่มเฉยเลย แม่จ้าว! มวลกล้ามเนื้อลดลง นั่นหมายความว่า อัตราการเผาผลาญของผมลดลงด้วย ไม่เชื่อลองดู! ถ้าเราไม่รู้ว่าจะต้องวางแผนอย่างไรให้เหมาะสม เราต้องหาผู้รู้ ที่ให้คำแนะนำเราได้คอยเป็นโค้ชให้กับเราระหว่างที่เราเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก
    ไม่ได้วางแผนอย่างเหมาะสม

    2. ไม่ได้วางแผนอย่างเหมาะสม ก็วางแผนให้เหมาะสมซะสิ! (เครดิตภาพ https://pixabay.com)

     

  3. ขาดความมุ่งมั่น  เราต้องมีความมุ่งมั่นทุ่มเทต่อเหตุผลในการลดน้ำหนักของเรา คำแก้ตัวมีแต่จะทำให้เราถอยหลัง จากประสบการณ์ของผมพบว่า ถ้าเราขาดความมุ่งมั่น ขาดเหตุผลที่เพียงพอในการลดน้ำหนัก เราก็ล้มเลิกง่าย ๆ เช่นกัน และผลลัพธ์ลดน้ำหนักไม่ได้ เสียเงินไปฟรี ๆ เสียความเชื่อมั่นในตัวเองไป โอกาสที่จะกลับมาลดน้ำหนักอีกครั้งจะยาก เพราะมันฝังใจกับความล้มเหลวครั้งนั้นไปแล้ว มันต้องชัดเจนในเหตุผลที่เราจะลดน้ำหนัก ให้คิดดูว่า “ทำไมเราต้องลดน้ำหนัก ?” บางคนอาจจะต้องการลดน้ำหนัก เพราะกำลังจะแต่งงาน อยากใส่ชุดเจ้าสาวสวย ๆ ให้เจ้าบ่าวภูมิใจในวันชื่นคืนสุขของเรา บางคนอาจจะต้องการลดน้ำหนัก เพราะต้องการสุขภาพที่ดีขึ้น จะได้อยู่กับลูก ๆ ที่ยังเล็กอยู่ อยากเห็นเขาเติบโต เห็นเขาประสบความสำเร็จในชีวิต ลองคิดให้ตัวเองดูนะครับ เอาแบบว่า คิดขึ้นมาทีไร ใจพองโต กำลังใจเพิ่มขึ้น ชนิดเอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ แว้ว!!!! เหตุผลเหล่านี้แหละที่จะทำให้เรามีความมุ่งมั่นที่จะก้าวผ่านไปให้ได้ ยังน้ำหนักเป้าหมายที่เราหมายปอง
    ขาดความมุ่งมั่น

    3. ขาดความมุ่งมั่น ก็เพิ่มความมุ่งมั่นให้มันมากขึ้น (เครดิตภาพ https://pixabay.com)

     

  4. ขาดความอดทน  การไปถึงน้ำหนักเป้าหมายของเราต้องใช้เวลา อย่ายอมแพ้ถ้าเราไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในช่วงแรก ปฏิบัติตามโปรแกรมต่อไปแล้วเราจะเห็นความแตกต่างในไม่ช้า จากประสบการณ์ของผมพบว่า การลดน้ำหนักต้องอาศัยความอดทน คือทั้งอด ทั้งทน นานมากพอสมควรในการปฏิบัติตามให้ครบโปรแกรม แต่มีเคล็ดลับที่จะทำให้เรามีความอดทนได้ต่อเนื่องครบโปรแกรม คือ ต้องปฏิบัติตามโปรแกรมแบบมีวินัยเข้มข้นให้ได้ใน 2 สัปดาห์แรก เพราะอะไรนะเหรอครับ ก็เพราะว่า 2 สัปดาห์แรกจะเป็นช่วงที่น้ำหนักลดลงเร็ว เมื่อน้ำหนักลดลงก็ทำให้เรามีกำลังใจที่จะปฏิบัติตามโปรแกรมลดน้ำหนักให้สำเร็จ แต่ในทางกลับกันถ้าใน 2 สัปดาห์แรกน้ำหนักของเราไม่ลด หรือลดนิดเดียว คิดดูแล้วกันครับ กำลังใจหาย ความอดทนก็ลดต่ำลงแบบรวดเร็ว บวกกับเริ่มเสียดายเงินที่ลงทุนไป พาลเลิกเอาดื้อ ๆ ก็ตอนนี้ละครับผม
    ขาดความอดทน

    4. ขาดความอดทน ก็เพิ่มความอดทนให้มากขึ้น (เครดิตภาพ https://pixabay.com)

     

  5. เฝ้าหาแต่ทางลัด  หลายคนตกเป็นเหยื่อของโปรแกรมควบคุมน้ำหนักที่นำเสนอผลลัพธ์ที่รวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม วิธีการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่ลูกเล่นทางการตลาด เมื่อทำไปแล้วไม่เห็นผล ก็จะทำให้เราล้มเลิก การลดน้ำหนักไม่มีทางลัดครับ มีแต่การเดินตามขั้นตอน เหมือนเดินวนขึ้นบันได ขั้นแล้ว ขั้นเล่า ก้าวแล้ว ก้าวเล่า อย่ากระโดด อาจจะพลาดพลั้งขาหัก เท้าแพลงได้ จากประสบการณ์ของผมพบว่า คนส่วนใหญ่เมื่อต้องการลดน้ำหนักก็จะสรรหาวิธีการลดที่ต้องการลดเร็ว ๆ ลดเยอะ ๆ ค้นหาในเน็ตก็พบแต่คำว่า ลด 20 กก. ภายใน 1 เดือน  ลดได้โดยแค่กินวันละเม็ด โดยไม่ต้องออกกำลัง ไม่ต้องควบคุมอาหาร สารพัดคำที่อ่านแล้ว หัวใจพองโต กับทางลัด แต่ไม่ได้ผล ก็ลองวิธีใหม่ไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เคยเจอทางลัด เพราะมันไม่มีครับ
    เฝ้าหาแต่ทางลัด

    5. เฝ้าหาแต่ทางลัด ก็แค่เลิกหาทางลัด ซึ่งมันไม่มี แล้วเดินตามทางที่ถูกต้อง (เครดิตภาพ https://pixabay.com)

     

เป็นอย่างไรครับ รู้หรือยังว่าที่เราล้มเหลว เพราะเหตุผลข้อไหนกัน ผมจะบอกวิธีแก้ง่าย ๆ ก็แค่ “ทำตรงข้ามทั้ง 5 ข้อ” ง๊าย ง่าย ใช่ไหมเอ่ย ? ถ้าไม่รู้ว่าทำตรงข้ามทำยังไง ? ไลน์มาคุยกันได้ที่ Line id : chavanut หรือ Mobile : 080 966 6866 ด้วยความยินดีครับ หึ หึ หุ หุ 55555

เอกสารอ้างอิง : คู่มือฝึกอบรมบอดี้คีย์ ปลดล็อกสู่คุณคนใหม่

 

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 77 เหลือ69

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง 12 เคล็ดไม่ลับ ของการลดน้ำหนัก

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

12 เคล็ดลับลดน้ำหนักให้ได้ผล

การที่เราอ้วน หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นสาเหตุหนึ่งก็เพราะพฤกติกรรมที่ไม่ดี ที่ทำสะสมมาวันแล้ววันเล่า เพราะด้วยเหตุนี้ การลดน้ำหนักก็คือ การค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤกติกรรมให้กลับไปมีพฤกติกรรมที่ดีนั่นเอง ดูเหมือนไม่ยาก 55555 แต่ตอนทำ โคตรยากเลย แต่มันเป็นไปได้ ค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ เรามาดูเคล็ดไม่ลับกันว่า 12 ข้อนั้นมีอะไรบ้าง

12 เคล็ดไม่ลับ ของการลดน้ำหนัก

12 เคล็ดไม่ลับ ของการลดน้ำหนักให้ได้ผล

  1. ตั้งเป้าหมายสำหรับตัวคุณเองเป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำ และอย่าลืมว่าการลดน้ำหนักต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป การตั้งเป้าหมายนั้น ควรกำหนดเป็นระยะสั้นๆ เพื่อให้เรามีกำลังใจในการประสบความสำเร็จเป็นระยะๆ
  2. ลองถ่ายรูปตัวคุณเอง ก่อนเริ่มลดน้ำหนักแล้วตั้งใจทำตามที่คิดไว้ รับรองว่าคุณจะได้เห็นผลแตกต่างที่น่าพอใจอย่างแน่นอน
  3. พยายามหากิจกรรมอื่นที่คุณสนใจมาทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอาหารมากจนเกินไป
  4. ตักอาหารไว้ในจานแต่พออิ่ม และไม่รับประทานเพิ่มอีก การรับประทานอาหารร่วมกันกับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว อาจทำให้คุณไม่สามารถกำหนดปริมาณอาหารของคุณได้
  5. อย่ากังวลกับเป้าหมายที่ตั้งไว้มากเกินไปจนเครียด การลดน้ำหนักต้องใช้เวลาเสมอ
  6. อย่าทำกิจกรรมอื่น เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ ร่วมกับการรับประทานอาหาร เพราะคุณจะรับประทานอาหารเพลินอย่างไม่รู้ตัว
  7. รับประทานตามมื้อ อย่ารับประทานจุบจิบตามใจตัวเอง
  8. เคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียด คุณจะใส่ใจกับสิ่งที่รับประทานเข้าไปมากขึ้น
  9. อย่าคิดอดอาหารมื้อใด เพราะมื้อต่อไปคุณจะรับประทานมากกว่าที่ควร
  10. อย่าซื้ออาหารเวลาที่คุณหิวเป็นอันขาด เพราะคุณจะซื้อมากเกินกว่าที่คุณจะรับประทานได้หมด
  11. หาเหตุผลในการลดน้ำหนักให้กับตัวเองและระลึกไว้เสมอว่า นี่เป็นวิธีการให้กำลังใจที่ดีวิธีหนึ่ง เผื่อเวลาที่คุณกำลังจะหมดความอดทนกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า
  12. ข้อสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กัน คือควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกาย

อ้างอิง : เอกสารการลดน้ำหนักของบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด

 

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :  ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 77 เหลือ69

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

7 คำถาม 7 คำตอบ กับการลดน้ำหนัก

คุณมีคำถามเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก แต่ไม่รู้จะถามใคร ที่นี่ผมมีคำถาม คำตอบ ที่ผู้ปราถนาจะหุ่นดีต้องรู้ หากคิดที่จะเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ไม่พูดพร่ำ ทำเพลงเริ่มเลยดีกว่าครับผม

gengibre-para-emagrecer farmacia flor de lis multidrogas orlandia

คำถามที่ 1 โปรแกรมลดน้ำหนัก เป็นอย่างไร ?

คำตอบ โปรแกรมลดน้ำหนักเป็นจุดเริ่มต้นในการปฏิวัติความอ้วนที่ดี เพียงเราปฏิบัติตามโปรแกรมอย่างมีวินัยก็จะทำให้เราเรียนรู้การปรับพฤกติกรรมที่นำไปสู่การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนต่อไป อย่างไรก็ตาม การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนต้องอาศัยเวลา แรงใจ เพื่อปรับพฤกติกรรมในการกิน และต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ การลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดีควรลดประมาณสัปดาห์ละ 0.5 – 1.0 กิโลกรัม รวมถึงการได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน เรียกว่า ลดแต่พลังงาน ไม่ลดสารอาหารนั่นเอง

คำถามที่ 2 ควบคุมปริมาณอาหารอย่างเคร่งครัดแล้ว ยังจำเป็นต้องออกกำลังกายอีกหรือไม่ ?

คำตอบ หลักการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง ต้องอาศัยการควบคุมอาหารร่วมกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิก และแบบเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญในร่างกาย โดยทั่วไปเมื่อลดน้ำหนักมาสักระยะหนึ่ง ร่างกายจะปรับระบบการเผาผลาญให้ต่ำลง หากไม่ออกกำลังกายจะทำให้น้ำหนักคงที่เร็ว ไม่สามารถลดน้ำหนักลงไปได้อีก หรือในบางคนหากเผลอกินมากขึ้นจะทำให้เกิดโยโย่ เอ็ฟเฟ็คท์ได้ง่าย

คำถามที่ 3 ในการลดน้ำหนักควรเสริมสารอาหารอะไรบ้างเพื่อให้ร่างกายไม่โทรม ?

คำตอบ ในการลดน้ำหนักควรลดปริมาณอาหาร แต่ยังต้องได้รับวิตามิน เกลือแร่รวม และไฟโตนิวเทรียนท์ รวมถึงโปรตีนคุณภาพอย่างครบถ้วนจะทำให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างยั่งยืนและมีสุขภาพดี

คำถามที่ 4 การใช้สารอาหารตัวช่วย ทำให้การทำตามโปรแกรมประสบความสำเร็จได้อย่างไร ?

คำตอบ การใช้สารอาหารตัวช่วยร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการปรับพฤกติกรรมเพื่อลดน้ำหนัก จะช่วยให้การทำตามโปรแกรมง่ายขึ้น ไม่ยุ่งยาก เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารจะช่วยให้สามารถควบคุมพลังงานได้ง่ายขึ้นและได้รับสารอาหารครบถ้วน สารสกัดจากถั่วขาวและถั่วเหลืองหมักช่วยยับยั้งการดูดซึมแป้งและน้ำตาล จึงช่วยลดพลังงานในกรณีที่กินคาร์โบไฮเดรตเกินความจำเป็น รวมถึงสารสกัดซีแอลเอจากน้ำมันดอกคำฝอยที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ  ตัวสารสกัดจากชาเขียวเพื่อเพิ่มการเผาผลาญและช่วยลดพุง ลดรอบเอว ทำให้รูปร่างสมส่วนได้ดังใจ

คำถามที่ 5 หากต้องไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงในระหว่างโปรแกรม ควรทำอย่างไร ?

คำตอบ กรณีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอระหว่างโปรแกรม ในช่วงแรกของการปรับพฤกติกรรมให้พยายามหลีกเลี่ยงการสังสรรค์หรือสิ่งเร้าต่างๆ ให้ได้มากที่สุด แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ให้พยายามควบคุมปริมาณอาหารและเลือกชนิดอาหารที่ให้พลังงานต่ำและออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้นเพื่อเผาผลาญส่วนที่กินเกินจากโปรแกรม หรือใช้สารสกัดจากถั่วขาวและถั่วเหลืองหมักช่วยยับยั้งการดูดซึมแป้งและน้ำตาล เช่น หากเผลอดื่มกาแฟเย็น 1 แก้ว ก็ควรว่ายน้ำ 1 ชั่วโมงเป็นการชดเชย หรือใช้สารสกัดจากถั่วขาวและถั่วเหลืองหมักช่วยยับยั้งการดูดซึมแป้งและน้ำตาล บล้อกไว้ก่อนกิน เป็นต้น

คำถามที่ 6 เหตุใดต้องจดบันทึกรายการอาหาร ?

คำตอบ การจดอาหารที่เรากินทุกอย่าง ทำให้เรามีสติรู้ตลอดทั้งวันว่าเรากินอาหารชนิดใดบ้าง ปริมาณมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถปรับเมนูและปริมาณการกินอาหาร หรือลดการกินอาหารที่ให้พลังงานสูงได้ ซึ่งส่งผลให้ลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี การจดบันทึกอาหารจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ต้องการปรับพฤกติกรรมเพื่อลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน

คำถามที่ 7 หากลองทำตามโปรแกรมแล้วน้ำหนักไม่ลด ควรทำอย่างไร ?

คำตอบ ลองนำบันทึกรายการอาหารมาตรวจสอบดูว่าได้ทำตามมื้ออาหารหรือไม่อย่างไร (นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเราต้องจดบันทึกรายการอาหารอย่างสม่ำเสมอ) มีส่วนใดที่ยังทำผิดพลาดหรือสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้น อาจให้เพื่อน หรือโค้ชคนที่ทำสำเร็จช่วยตรวจสอบหรือให้คำปรึกษา และควรเพิ่มการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเผาผลาญพลังงานด้วย

อ้างอิง : เอกสารการลดน้ำหนักของบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :  ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 77 เหลือ69

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ลดน้ำหนักด้วย บอดี้คีย์ (Body Key) ได้ผลดังใจ เพราะ 2 สิ่งนี้!

บอดี้คีย์ ช่วยลดน้ำหนักได้จริงเหรอ! ?………

ทำไมน้ำหนักไม่ลงเลยล่ะ ?………

สรุปว่าบอดี้คีย์ ดีจิงป่าว? เนี่ย!! จ่ายไปเยอะแล้วนะเนี่ย!………

แล้วทำยังไง ถึงจะได้ผล คุ้มค่าเงินที่จ่ายไป ?………

คำถามเหล่านี้ เกิดขึ้นกับคนที่ต้องการที่จะลดน้ำหนักด้วย บอดี้คีย์ แน่นอน! </>

จากประสบการณ์การลดน้ำหนักด้วยตัวเอง และคอยให้คำแนะนำ ดูแลคนที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ ผมพิสูจน์พบว่า มีอยู่ 2 สิ่งที่คนเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักต้องมี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และประหยัดเงิน คุ้มค่าที่จ่ายไป ดังที่ผมจะเล่าแจ้งแถลงไขให้ฟังดังต่อไปนี้ละครับ สิ่งนั้นคือ……

  1. วินัย (Disclipline) สาเหตุที่เราอ้วน หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้น ก็เพราะเกิดจากวินัยในการใช้ชีวิต เช่น การนอน ความเครียด การออกกำลัง กิจกรรมในชีวิตประจำวัน และการกินอาหารที่หย่อนยานมาเป็นเวลานาน จนกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดี ส่งผลต่อน้ำหนักตัวที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แล้วก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา อย่าง เบาหวาน ข้อเข่า ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง โรคหัวใจ เป็นต้น ถ้าเราได้ทำแบบสอบถามในแอพ BodyKey แล้วดูผลที่ออกมา จะฟ้องออกมาเลยว่า แย่!!! โดยส่วนใหญ่เลย เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก มันคือ การปรับเปลี่ยนพฤกติกรรมที่ แย่!!! ให้ดีขึ้น โดยการทำตามโปรแกรม ซึ่งต้องอาศัย “วินัย” ของตัวเองในการที่จะปฏิวัติตัวเอง เพื่อให้ปฏิบัติให้ได้ตามโปรแกรมลดน้ำหนักมากที่สุด แต่ถ้าขาดซึ่ง วินัย คือไม่ได้ทำตามโปรแกรมลดน้ำหนักอย่างเคร่งครัด ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต้องบอกละครับว่า เป็นอย่างไร มีโอกาสที่จะเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ค่อนข้างสูง
  2. โค้ช (Coach) หรือคนที่คอยให้คำปรึกษา ให้ข้อมูล คอยแก้ปัญหา ให้กำลังใจ ในช่วงที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก เพราะช่วงเข้าโปรแกรมอารมย์ความอยากกิน อาจจะทำให้เราเหวี่ยงไปมา แบบว่าโมโหหิวได้ 55555 ต้องมีคนคอยสนับสนุนช่วยเหลือ ยิ่งถ้ามีประสบการณ์ในการลดน้ำหนักมาก่อน ยิ่งดีครับ เพราะเขาจะเข้าใจสถานการณ์ อารมย์ ที่เกิดขึ้นในขณะที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักของเราได้ดี บางสิ่งบางอย่างเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ ทำไมเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เราก็สามารถถามหาคำตอบได้จากโค้ชที่ช่วยเหลือเราอยู่ได้

diary-1974728_1280

มีหลายคนถามว่า “แล้วจะสร้างวินัย  ในตัวเองได้อย่างไร” ผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เหมือนกัน แต่ตอนที่ผมเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ผมมีเป้าหมายที่ชัดเจน หนักแน่นในการลดน้ำหนักว่า เป้าหมายคืออะไร ทำไมต้องลดน้ำหนักเพื่ออะไร  (ช่วยเขียนมันออกมาเป็นตัวหนังสือ) พอเป้าหมายชัดเจน โปรแกรมให้ทำยังไง ก็แค่ทำตาม โดยเงื่อนไขน้อยที่สุดหรือปราศจากเงื่อนไขไปเลย และผมตอกย้ำ เป้าหมายทุกวัน พอทำไปเรื่อย ๆ มันเลยกลายเป็นนิสัยที่ดีอัตโนมัติไปเลย ท่องไว้ครับ “ฉันเป็นคนมีวินัย มุ่งมั่น ขยัน อดทน และมีความสุขสุดๆ” เหมือนที่หนังสือหลายเล่มบอกว่า “การที่เราทำสิ่งใด สิ่งหนึ่ง สม่ำเสมอ เป็นเวลา 21 วันได้ มันจะกลายเป็นนิสัยของเรา” 

ผมหวังว่า สิ่งที่ผมบอกเล่ามาจะช่วยให้พวกเราที่กำลังจะตัดสินใจเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก หรือกำลังอยู่ในโปรแกรมลดน้ำหนัก ประสบความสำเร็จดังที่คาดหวังไว้นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้ครับ สู้ สู้ !!!!!! คุณทำได้!

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

อยากลดเฉพาะส่วน แต่ทำไมต้องเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักด้วย

“พี่หนูอยากลดเฉพาะต้นขา กะสะโพกได้มั๊ย ? แต่ให้นมหนูเท่าเดิม” เคยได้ยินประโยคแบบนี้มั๊ยครับ ? ผมล่ะ ได้ยินบ่อยมาก เพราะมีคนมาถามผมแบบนี้เยอะมาก เลยต้องมาบอกเล่า แถลงไขให้รู้กันว่า “อยากลดเฉพาะส่วน แต่ทำไมต้องเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักด้วย” ว่าแล้วก็มาว่ากันเลยครับ ว่ามันเป็นพันพรือกันแน่ หล่าว!!!

ปัญหามันอยู่ที่บางคนอาจจะมีสัดส่วนเกินเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นเอง เช่น ต้นขาใหญ่ เอวหนา ใบหน้ากลมเป็นซาลาเปา ไม่ได้ต้องการลดน้ำหนักทั้งตัว ถึงขนาดน้องบางคนมาบ่นว่า “ไอ้ที่อยากให้ใหญ่ ดั๊นไม่ใหญ่ ไอ้ที่อยากให้เล็ก ดันมาใหญ่ซะงั้น! 55555” ว่าแล้วก็หัวเราะประชด “โส น้า หน้า ก็กินยังกะพายุ” หลายคนจึงมองหาวิธีลดน้ำหนักเฉพาะส่วน เช่น ออกกำลังเฉพาะส่วนที่ต้องการลด สรรหาสารพัดครีมที่โฆษณา อลังการวังเว่อร์! มาทา ทา ทา เพื่อลดเฉพาะส่วน แต่มันก็ไม่ลดเพราะ….อะไร ?

มีความจริง! จะบอกว่า สาเหตุที่เราไม่สามารถลดน้ำหนักเฉพาะส่วนได้ เพราะอะไรนะเหรอครับ ก็เพราะว่า ร่างกายของคนเราจะดึงไขมันมาใช้ตามลำดับ และที่โหดร้ายก็คือ เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลำดับนั้นได้ โดยธรรมชาติของไขมันในร่างกายของคนเรานั้นจะเป็น ‘เข้าก่อนออกทีหลัง’ โดยที่ไขมันจะสะสมตามลำดับดังนี้ คือ…

  1. หน้าท้องก่อน
  2. ตามด้วยต้นขา
  3. ไล่มาที่หลัง
  4. ออกที่คาง
  5. สุดท้ายที่ใบหน้า

lake-constance-1937138_1920

แต่เวลาร่างกายดึงไขมันมาใช้จะเริ่มดึงเรียงลำดับจาก…

  1. ใบหน้าเรียวก่อน
  2. คางเริ่มหายไป
  3. หลังบางลง
  4. ต้นขาเพรียวขึ้น
  5. หน้าท้องหลังสุด

คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าใช้วิธีซิทอัพเพื่อลดหน้าท้อง ปั่นจักรยาน ทาครีมเพื่อลดต้นขา แบบนั้น มันแค่ช่วยกระชับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่ไขมันแทบจะไม่ได้ลดลงเลย แป่ว! เศร้า! แล้วผลจากการที่เราออกกำลังกายเฉพาะส่วนมากเกินไป ก็อาจทำให้อวัยวะส่วนนั้นมีกล้ามเนื้อมากขึ้น อวัยวะส่วนนั้นที่ต้องการลดก็มีทั้งไขมันและกล้ามเนื้อมาก สุดท้ายแล้วแทนที่เราจะได้รูปร่างที่ดีดังใจนึก กลับทำให้เราได้รูปร่างที่ดูล่ำบึ้ก แบบอ้วนท้วนแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ

ในทางปฏิบัติที่ให้ได้ผล คือ หากเราต้องการลดสัดส่วนเฉพาะส่วนที่ต้องการ เราก็ต้องลดน้ำหนักตามปกติ (เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก) แล้วสัดส่วนที่ต้องการจะลด ก็จะลดลงไปเองด้วย แต่หากต้องการจะลดเฉพาะส่วนนั้นๆ ในทางการแพทย์แล้ว ขอบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้แน่นอน

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

วิธีดูแลรักษาน้ำหนักช่วงเทศกาลงานต่างๆ

         ปีใหม่ สงกรานต์ วันเกิด ขึ้นบ้านใหม่ งานบวช งานแต่งงาน เทศกาลเมืองไทยมีมากมาย และต้องมีกินเป็นหลัก สารพัดอาหารเลิศรสที่นำมาเสิรฟ มีสติขาดกันเป็นทิวแถวเชียว โถ! ก็ใครมันจะไปอดใจไหว มันทรมานใจสุด ๆ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ น้ำหนักพุ่งพรวด กว่าจะรู้สึกตัวก็บวมอวบซะแล้ว นานไปสุขภาพเราก็แย่ตามน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ยิ่งพอเราอายุมากขึ้นก็ลดน้ำหนักได้ยากขึ้นไปอีก เพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดี เรามาดูกันว่าจะมีวิธีจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างไร ครับ

  1. ฝึกมีสติเป็นอันดับแรกครับ สติมา ปัญญาเกิด ก่อนไปงานให้เราลอง สูดหายใจลึก ๆ และอั้นค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกเบาจนหมดปอดเลย ทำแบบนี้สัก 3 ครั้ง เราจะเริ่มรู้สึกมีสติ รู้ตัวมากขึ้น เพราะอ๊อกซิเจนเข้าไปในเลือด และร่างกายนำเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง โดยเฉพาะสมองทำให้สมองคิดอะไรที่ดีๆ กับตัวเองได้ดีขึ้น
  2. คิดวางเป้าหมายการกินในงานนั้น ๆ ล่วงหน้า มีขั้นตอน คือ
    • เช็คดูว่าเรากินแคลอรี่ได้เท่าไหร่ต่อวัน เช่น เรากินได้วันละ 1,200 แคลอรี่  ก็ไม่ควรกินเกิน เพื่อเป็นการรักษาน้ำหนักให้คงที่โดย “กินเท่ากับใช้”
    • ตรวจสอบดูว่า งานที่ไปกินเป็นมื้อไหน เช้า เที่ยง หรือเย็น ส่วนใหญ่เป็นมื้อเย็นซึ่งเป็นมื้อที่ อันตรายต่อน้ำหนักตัวที่สุด เพราะกินเสร็จก็กลับไปนอน ร่างกายก็แปรรูปพลังงานจากอาหารจำนวนมากไปเป็นไขมันเก็บไว้ในเซลล์ไขมันทันที โดยเก็บที่หน้าท้องก่อน เป็นอันดับแรก ผู้หญิงก็มีบริเวณ ต้นแขน ต้นขา ตะโพก วิธีแก้คือ ถ้านัดเพื่อนๆ กินก็ให้ลองคุยเปลี่ยนมากินมื้อเที่ยงแทน ถ้าไม่ได้ก็ให้ลดแคลอรี่มื้อ เช้า และเที่ยงลง แต่ห้ามอดนะครับ เดี๋ยวเป็นลม หรือใช้ตัวทดแทนมื้ออาหารบอดี้คีย์ ซึ่งให้สารอาหารครบ แต่ให้พลังงานแค่ 130 แคลอรี่ ก็สะดวก และง่ายดี
    • เลี่ยง ลด อาหารที่แคลอรี่สูง ประเภท ทอด ผัด แป้ง น้ำตาลสูง แต่เพื่อความไม่ประมาท ขอแนะนำให้ใช้ตัวบล้อกแป้งและน้ำตาล เช่น แคลโลว์ เมื่อเรากิน 2 เม็ดจะบล้อกได้ 300 แคลอรี่, 3 เม็ด บล้อกได้ 500 แคลอรี่ ผ่อนหนักเป็นเบา โดยกินก่อนกินอาหาร 15-30 นาที ผมใช้ทุกครั้งที่ต้องกินอาหารพวกแป้งและน้ำตาลมากกว่าปกติ ส่วนอาหารทอด ผัด ต้องเลี่ยงลดเท่านั้น ไม่มีตัวช่วย
      S__60710965

      เปรียบเทียบกินกับเบิร์นออก

  3. เบิร์นออกไปด้วยการออกกำลังกาย ถ้ามื้อเที่ยงงานเข้า เป็นมื้อหนัก ตอนเย็นวางแผนเตรียมตัวเอาชุดออกกำลังมาติดรถ ติดตัวไว้เลย รักจะกิน ก็ต้องรักการออกกำลังด้วยนะครับ แนะนำการเพิ่มอัตราการเบิร์นด้วยตัว ซีแอลเอ 500 มากิน พร้อมการออกกำลังจะช่วยให้การเผาผลาญเพิ่มมากขึ้น โดยใช้เวลาเท่าเดิม อ้อ! มีอีกตัวนึง กรีนที พลัส ตัวนี้เพิ่มอัตราการเผาผลาญ โดยเน้น รอบเอวของเราโดยเฉพาะเลย
  4. กินอาหารที่เป็นประเภทโปรตีน โดยเฉพาะโปรตีนจากปลา เพื่อเพิ่มการเผาผลาญเพราะร่างกายจะใช้พลังงานในการเผาผลาญโปรตีนมากกว่าอาหารประเภทอื่น หรืออาจจะเสริมด้วยออลแพลนท์โปรตีน ก็ได้ครับ แล้วแต่สะดวก

เป็นไงครับ ดูวิธีการที่ผมแนะนำแล้ว หลายคนอาจจะบอกว่า ไม่ง่ายนะ ก็ตอนกินมันเพลินอ่ะ มีความสุขสุดๆ แต่ให้นึกถึงตอนหลังจากนั้น ตอนเอามันออกดิครับ เหนื่อยกว่าหลายเท่า สิ้นเปลืองเงินทองกว่าตอนกินอีกครับ ลองดูครับ ขอให้มีความสุขกับทุกเทศกาล งานต่างๆ นะครับ

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866