5 ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้การเผาผลาญของร่างกายลดลงเร็วเกินวัย

1. มวลกล้ามเนื้อลดลง เนื่องจากไม่ค่อยมีการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้าง

กล้ามเนื้อเป็นส่วนที่เผาผลาญพลังงานมากที่สุดในร่างกาย ยิ่งมีมากก็ยิ่งเผาผลาญพลังงานมาก เมื่อเราอายุมากขึ้น หรือไม่ได้มีการออกกำลังเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อของเราจะมีการสลายเป็นธรรมชาติปกติอยู่แล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายเราลดลง ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งสลายมากขึ้น น้ำหนักของเราก็จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นแบบเราไม่ทันรู้ตัว หลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้ “ตอนเด็กอายุน้อย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แล้วทำไมตอนนี้ กินนิดกินหน่อยก็อ้วนแล้ว” คงเข้าใจนะครับว่าเพราะว่าอะไร

คำแนะนำเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ
– เพิ่มการออกกำลังแบบสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ยกน้ำหนัก ฟิตเนสบางท่าอย่างท่า Plank, Pushups, Squats เป็นต้น
– รับประทานอาหารให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน เช่น วิตามิน เกลือแร่  โปรตีน หรือเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพ
– รับประทานสารสกัดจากดอกคำฝอยที่มีสาร Conjugated Linoleic Acid (CLA) ที่มีคุณประโยชน์ช่วยรักษาและเพิ่มการเผาผลาญของมวลกล้ามเนื้อ

2. รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา และชอบรับประทานอาหารมื้อหนัก            

โดยปกติร่างการคนเราจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อย่อยอาหาร คนส่วนใหญ่ทานอาหารมื้อใหญ่ สังสรรค์ ตอนมื้อค่ำ แถมเป็นการกินเกินที่มากมายล่วงหน้า แคลอรี่เท่ากับกิน 2-3 วันเลยทีเดียว กลับถึงบ้านก็นอนเลย ทิ้งระยะเวลาจากการกินไม่ถึง 4 ชั่วโมง ร่างกายไม่ทันได้เผาผลาญหมด ร่างกายก็จะทำการเปลี่ยนพลังงานเป็นไขมันนำไปเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

คำแนะนำเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ
– รับประทานมื้อเช้า ช่วงเวลา 6.00-7.00 น.
– รับประทานมื้อเที่ยง ช่วงเวลา 12.00-13.00 น. (ให้เลยเวลาได้เต็มที่ไม่เกิน 15.00 น. )
– รับประทานมื้อเย็น ช่วงเวลา 17.00-18.00 น. (ให้เลยเวลาได้เต็มที่ไม่เกิน 19.00 น. )
– ถ้าจะทานมื้อหนัก เป็นไปได้ให้เปลี่ยนจากมื้อค่ำมาเป็นมื้อเที่ยงแทน เพราะอย่างน้อยกว่าที่เราจะเข้านอนร่างกายก็เผาผลาญพลังงานไปได้เยอะแล้ว ถ้าเหลือก็น้อยลงมากแล้ว
– รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ห้ามอดอาหารหรืองดมื้ออาหาร

(ช่วงเวลารับประทานอาหาร แต่ละมื้อจะห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมง)

3. กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวันน้อยลง

กิจกรรมระหว่างวัน จะเผาผลาญพลังงาน 25-35 % เลยทีเดียว เพราะฉนั้นถ้าในแต่ละวันการเคลื่อนไหวของเราน้อยลง การเผาผลาญพลังงานก็น้อยลงไปด้วยเช่นกัน แล้วในปัจจุบันสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ลิฟท์ บันไดเลื่อน รถยนต์ เป็นตัวผ่อนแรงทำให้เราใช้แรงน้อยลง การเผาผลาญก็น้อยลงด้วย คนในปัจจุบันจึงอ้วนถึง 1 ใน 3 คน หากเราลองมองไปรอบๆ ตัว ซึ่งเราอาจจะเป็น 1 ใน 3 ที่อ้วนก็ได้ แล้วจะะทำยังไงล่ะ!!!

คำแนะนำเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ
– พยายามเดินให้ได้มากกว่า 10,000 ก้าวต่อวัน !!!
– ลุกขึ้นเดินจากโต๊ะทำงานสัก 5 นาที ทุกๆ 1 หรือ 2 ชั่วโมง
– ใช้การเดินขึ้นลงทางบันได แทนการใช้ลิฟท์

4. ความเครียดสูง

ในสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน (พ.ศ.2559) ที่มีการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงแปรผัน อย่างรวดเร็ว ไม่แปลกที่ผู้คนจะมีความเครียดทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเครียดเพิ่มสูง แก้ความเครียดด้วยการกิน กิน กิน จนสุดท้ายระบบการเผาผลาญเสียหาย

คำแนะนำเพื่อลดความเครียดเพิ่มการเผาผลาญ
– ลดความเครียดด้วยการออกกำลัง เล่นกีฬา
– นั่งสมาธิ ไม่ต้องมากแค่ 5 นาทีก็พอ
– สูดหายใจลึกๆ กลั้นหายใจ แล้วหายใจออกสัก 7-10 ครั้ง
– ฝึกปล่อยวาง ทำใจ อะไรจะเกิดก็เกิด พูดคำว่า “ช่างมันเถอะ” “ปล่อยมันไป”

5. รับประทานอาหารแป้ง-น้ำตาลสูง และอาหารสำเร็จรูป

ถ้าเราสังเกตุดู จะเห็นว่าปัจจุบันอาหารส่วนใหญ่เป็นพวกแป้งและน้ำตาลสูง และอาหารสำเร็จรูป ด้วยวิถีชีวิตที่รีบเร่งของปัจจุบัน ขอนำเสนอข้อมูลจากหนังสือ “ผอมได้ ไม่ต้องอด” ของแพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล

“ดร. เดวิด เคสเลอร์ ได้ เราถึงงานวิจัยกว่าเจ็ดปีของเค้าในหนังสือชื่อ The End of Overeating ว่า “ปัญหาอ้วนของคนในปัจจุบันเกิดจากการติดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เกลือสูง และไขมันสูง” เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความรื่นรมย์ในสมอง มีลักษณะเหมือนการได้รับรางวัล (Rewarding Process) ส่งผลให้หยุดรับประทานไม่ได้และโหยหาที่จะรับประทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทผู้ผลิตอาหารทราบถึงกลไกเหล่านี้ดี ผู้ผลิตอาหารในปัจจุบันจึงมีความตั้งใจที่จะใส่น้ำตาลและน้ำมันปริมาณมากลงในอาหาร ไม่เพียงเพื่อเพิ่มรสชาติให้ถูกปาก แต่ยังเป็นการกระตุ้นกลไกในสมองเพื่อให้เราติดใจโดยไม่รู้ตัว หรือพูดง่ายง่ายว่าตั้งใจให้เราเสพติดอาหารที่พวกเขาขายนั่นเอง เมื่อทราบกลลวงของผู้ผลิตอาหารแล้ว เราจะทำอย่างไรให้เลิกเสพติดกันดี”

การเสพติดอาหาร กินมากเกินไปทำให้การเผาผลาญของเราเสียหายลดลง สุดท้ายเราก็อ้วน!

คำแนะนำเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ
– ค่อยๆ ลดการกินอาหารแป้ง-น้ำตาล อาหารสำเร็จรูปลง เช่น เคยกินทุกวัน ก็เป็นวันเว้นวัน แล้วค่อยๆ เว้นช่วงห่างออกไปเรื่อยๆ เป็นต้น
– 50-50 คือ เคยกินข้าวขาวก็เปลี่ยนเป็น ข้าวขาวครึ่งจาน อีกครึ่งจานเป็นข้าวกล้อง หรือกินข้าวขาวน้อยลงจาก 2 จานเป็น 1 จาน เป็นต้น
– ถ้าเสพติดขนาดหนัก อาจต้องมีวันปลดปล่อยสักวันใน 1 อาทิตย์ มื้อปลดปล่อยที่ดีที่สุดคือเป็น มื้อเช้า และมื้อเที่ยง
– อย่าเข้มงวดจนเกินไปจนทนไม่ไหว ให้ค่อยๆ ลด ค่อยๆ ทำใจร่มๆ
– สั่งเครื่องดื่ม เข่น ชา กาแฟ ให้พูดว่า “หวานน้อยนะคะ” “ไม่ใส่วิปครีมครับ”

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ควบคุมอาหารหรืออาหารทดแทน วิธีไหนได้ผลดีกว่ากัน ?

          มีผลการวิจัยที่เด่นชัดที่สุดที่ทำโดย Dr. Herwig Ditschuneit ที่ University of Ulm ใน Germany โดยเก็บข้อมูลนานกว่า 4 ปี การวิจัยนี้ได้แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม

          กลุ่มแรก ให้ทานอาหารปกติ แต่ทานน้อยลง โดยลดแคลอรี่ของอาหารที่ทานให้เหลือประมาณ 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน

          กลุ่มที่สอง ทานอาหารทดแทน ในรูปแบบของของเหลวทดแทนอาหาร 2 มื้อแล้วก็ทานอาหารปกติ 1 มื้อ โดยได้พลังงานประมาณ 1,200 กิโลแคลอรีต่อวันเท่ากัน ผลหลังจากผ่านไป 12 สัปดาห์เป็นดังนี้

          กลุ่มแรกที่ใช้วิธีควบคุมอาหาร สามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยเพียง 1 – 2 ปอนด์ (0.45 – 0.9 kg) เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มหลังที่ทานอาหารทดแทนสามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยสูงถึง 14 ปอนด์ (6.3 kg)

หลังจากนั้นก็เก็บข้อมูลต่อเนื่องไปจนครบ 4 ปี แล้วเปรียบเทียบในด้านของผลดีต่อโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับความอ้วน เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอล ความดัน กลุ่มที่ทานอาหารทดแทนวันละ 2 มื้อมีระดับน้ำตาลในเลือดและตัวเลขอื่นๆ ในด้านสุขภาพ ที่ดีกว่ากลุ่มแรกอย่างมากมาย

          สรุปก็คือ การทานอาหารทดแทนเพื่อลดน้ำหนัก สามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า ควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า และมีสุขภาพที่ดีกว่าการพยายามควบคุมอาหารด้วยตนเอง ข้อมูลและสถิติเหล่านี้ UCLA ได้นำมาวิเคราะห์ซ้ำอีกครั้ง และได้ตีพิมพ์ลงใน American Journal of Clinical Nutrition (วารสารทางการแพทย์)

จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของอาหารทดแทน ก็คือ ช่วยให้เราสามารถลดน้ำหนักให้สอดคล้องกับหลักการที่แพทย์แนะนำได้ง่ายขึ้น เพราะอาหารทดแทนเหล่านี้มักจะมีการแสดงปริมาณสารอาหารและปริมาณพลังงานเอาไว้ ทำให้เราสามารถควบคุมปริมาณพลังงานที่เราจะทานในแต่ละวัน ให้ได้ประมาณ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรีได้ง่ายขึ้น และการที่อาหารทดแทนให้สารอาหารที่ครบถ้วน ก็ทำให้เรารู้สึกหิวน้อย (หรือไม่หิวเลย) ซึ่งจะทำให้การควบคุมปริมาณอาหาร เป็นเรื่องง่ายขึ้น

ด้วยหลักการดังกล่าว เราก็จะสามารถลดน้ำหนักลงได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่ส่งผลทำให้การเผาผลาญของร่างกายเราลดลง (และอาจช่วยปรับปรุงระดับการเผาผลาญที่เสียไปให้ดีขึ้น) ซึ่งทำให้ไม่มีโยโย่นั่นเอง

          เราสามารถสรุปได้ว่า อาหารทดแทน (ที่ดีพอ) จะช่วยให้เราลดน้ำหนักตามหลักการที่แพทย์แนะนำได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยขึ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม อาหารทดแทนไม่ได้ช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ทุกยี่ห้อ อาหารทดแทนที่จะลดน้ำหนักได้ผลดีก็คือ อาหารทดแทนที่เมื่อเราทานแล้วเราได้พลังงานประมาณ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน โดยที่ได้สารอาหารครบ 5 หมู่และได้ปริมาณโปรตีนเพียงพอ ไม่ว่าอาหารทดแทนยี่ห้อไหนก็ตามที่สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว เราก็สามารถที่จะทานเพื่อลดน้ำหนักลงได้

สำหรับหลักการเบื้องต้นในการเลือกยี่ห้อของอาหารทดแทน

อย่างแรกก็คือความปลอดภัย เพราะอาหารเป็นสิ่งที่เราต้องทานเข้าไปจึงควรจะได้ อย. ด้วย (ยิ่งได้ อย. ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสความปลอดภัยมากขึ้น) และ อย. ยังทำให้เรามั่นใจได้ว่า อาหารนั้นปลอดภัยกว่าอาหารตามสั่งที่เราทาน (เช่น ส้มตำที่ไม่ได้ อย. และไปขอก็ไม่น่าจะได้)

อย่างที่สองก็คือ จะต้องให้สารอาหารที่ครบถ้วน 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม ได้ปริมาณโปรตีนมากพอ (ทานแล้วต้องไม่หิว) และให้พลังงานประมาณ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน

อย่างที่สามก็คือ อาหารทดแทนส่วนใหญ่จะรับประกันความพอใจ หากเราทานแล้วไม่ได้ผล ก็สามารถคืนเงินได้เต็มจำนวน (เท่าราคาที่ซื้อมา) จึงเป็นการลงทุนที่เสียงน้อยหากเราเลือกซื้อยี่ห้อที่มีการรับประกันคืนเงิน ฉะนั้นตอนซื้อให้ลองถามว่ายินดีคืนเงินหรือไม่ (แต่ถ้าจะลองทานเล่นๆเพราะคืนเงินได้ก็อย่าดีกว่า เพราะจะเสียเวลา เสียสุขภาพจิต)

ที่มาข้อมูล : “ถ้ารู้…คงผอมไปนานแล้ว” โดย โรสแมรี่

เพิ่มเติม : จากประสบการณ์ของผมเองซึ่งได้ใช้มาแล้วทั้ง 2 วิธี คือ ควบคุมอาหารด้วยตัวเอง กับใช้อาหารทดแทน สรุปผลได้ตรงกับผลการทดลองในข้อมูลที่ได้อ่านมาข้างต้น โดย ควบคุมอาหาร 1 เดือน ผมลดได้แค่ 1 กก. ส่วนการกินอาหารทดแทน 1 เดือนผมลดไปได้ถึง 6 กก.

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

อาหารทอดหรือผัดเลือกจานไหนดี ?

สำหรับคนที่กำลังอยู่ในช่วงลดหรือควบคุมน้ำหนักแล้วนั้น การเลือกอาหารเข้าปากสำคัญมาก เพราะ “สิ่งที่คุณเอาเข้าปาก จะเป็นตัวกำหนดรูปร่างของคุณ” อาหารในชีวิตประจำวันของคนไทยโดยทั่วไปส่วนมากก็หนีไม่พ้น “ทอดกับผัด”

อาหารทอด เช่น ไก่ทอด หมูทอดกระเทียม ปาท่องโก๋ ลูกชิ้นปลากรายทอด ลาบทอด เฟรนซ์ฟราย หอยทอด ฯลฯ

Processed with MOLDIV

อาหารทอด

อาหารผัด เช่น ผัดผักรวม ผัดคะน้าหมูกรอบ ผัดไทย ผัดซีอิ้ว ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ผัดผักบุ้งไฟแดง ฯลฯ

Processed with MOLDIV

อาหารผัด

ดูทั้งสองประเภทอาหารแล้ว ไม่ว่าจะทอดหรือผัด ก็ไม่เหมาะสำหรับคนลดหรือควบคุมน้ำหนักทั้งนั้นแหละ แต่ก็นะ ในชีวิตประจำวันบางครั้งก็หลีกเลี่ยงได้ยาก ถามว่า “ถ้าให้เลือกกินระหว่างทอดกับผัด เราควรเลือกสิ่งไหน ?”

ตอบแบบมีเงื่อนไขว่า ถ้าจำเป็นต้องเลือกระหว่างทอดกับผัด ขอตอบว่า……. เพื่อสุขภาพ “เลือกอาหารผัดครับ และควรเลี่ยงอาหารทอด”

เหตุผลที่ควรเลี่ยงอาหารทอด ยิ่งโดยเฉพาะ อาหารทอดในน้ำมันลอย เช่น ปาท่องโก๋ ขนมแป้งทอด เฟรนซ์ฟรายเป็นต้น อาหารทอดในน้ำมันลอย คือ อาหารที่ขณะทอดน้ำมันจะเยอะมาก พอใส่อาหารไปจะจมท่วมอาหาร พอสุกก็จะลอยขึ้นมา อาหารแบบนี้น้ำมันจะเยอะมาก แถมถ้าเป็นน้ำมันที่ทอดหลายๆ ครั้ง ก็บวกสารก่อมะเร็งเข้าไปอีก แคลอรี่ก็สูงเพราะมันจมน้ำมันขณะทอดอมน้ำมันเต็ม ๆ (น้ำมัน 1 กรัมเท่ากับ 9 แคลอรี่ มากกว่าแป้งซึ่งแป้งเท่ากับ 4 แคลอรี่)

ส่วนอาหารผัด เรายังสามารถควบคุมปริมาณน้ำมันได้ หรือขณะที่เราสั่งกับข้าวราดข้าวก็บอกแม่ค้าไปว่า น้ำมันในถาดไม่ต้องตักราดมา เอาเฉพาะตัวอาหารจริงๆ พอ แค่นี้เราก็พอที่จะลดปริมาณน้ำมันได้ครับ เพื่อสุขภาพรูปร่างของเรา

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะทอดหรือผัดก็ควรหลีกเลี่ยงสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักอยู่ แต่ถ้าจำเป็นต้องเลือกก็ ขอให้เลือกอย่างฉลาดนะครับ “ตกลงว่าจะรับทอดหรือผัดดี?”

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ลดน้ำหนักกับโปเกมอน สนุก สุขภาพดี อินเทรนด์!

เก็บได้กี่ตัวแล้ว ? อยู่เวลไหนแล้ว ? แถวไหนมีโปเกมอนให้จับเยอะๆ ? ช่วงนี้ทั้งประเทศไทยมีกิจกรรมระดับประเทศคือ เล่นเกมส์จับโปเกมอน ปกติผมเป็นคนที่ไม่เล่นเกมส์อะไรพวกนี้ ในมือถือแทบไม่มีเกมส์เลย มีก็แค่ถอดไพ่ Solitaire เอาไว้เล่นเพลินๆ ผ่อนคลาย เจอกระแสคลื่นโปเกมอนจนต้องโหลดมาลองเล่นดู ไม่งั้นคุยกับคนอื่นไม่ได้เลย เพราะเขาคุยกันแต่เรื่องจับโปเกมอน ก็มีหลายคนที่บอกว่า ปัญญาอ่อนเล่นทำไมเสียเวลา เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กับชีวิตดีกว่า สร้างอนาคตก่อนดีมั๊ย ? (จริงจังกับชีวิตมาก เครียดไปป่าว!)

แต่พอลองเล่น เอ่อ! ก็หนุกดีนะ แล้วมันจะเอาไปช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร ? จากการเป็นโค้ชลดน้ำหนักให้กับเพื่อนๆ และคนที่อยากลดน้ำหนัก นอกจากการควบคุมแคลอรี่ที่กินเข้าไปแล้ว การใช้หรือเบิร์นแคลอรี่ออกไปก็สำคัญเช่นกัน ผมพบว่าคนที่อ้วนมักจะมีค่ากิจกรรมต่ำมากๆ ชอบอยู่นิ่ง ใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ทุ่นแรงทุกอย่างเท่าที่มี พูดง่ายๆ อะไรที่ใช้แรง ฉันไม่เอา เหนื่อย ไม่ชอบ ไม่ทำ ไม่หนุกหนาน เบื่อ ฯลฯ

คนส่วนใหญ่ชอบทำสิ่งที่รู้สึกว่า ทำแล้วสนุก ได้โชว์ ได้อวดเพื่อนๆ อยู่ในโลกโซเชียล คุยเรื่องเดียวกัน ทำเรื่องเดียวกัน สรุปก็เป็นพวกเดียวกันถึงคุยกันรู้เรื่อง ผมว่านี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งว่าทำไมเกมส์ Pokemon Go ถึงเป็นกระแสที่แรงมากๆ ช่วงนี้ครับ แล้วการเล่นโปเกมอนมันต้องออกเดินไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อจับตัวโปเกมอนแต่ละแบบ สะสมบอล หาไข่ ฟักไข่ จุดนี้ละครับที่จะเอามาใช้ในการลดน้ำหนัก

กิจกรรมการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดี ถ้าไม่ออกกำลังก็ควรเดินให้ได้วันละอย่างน้อย 10,000 ก้าว มีข้อมูลยืนยันว่า “การเดินวันละ 10,000 ก้าวช่วยลดไขมัน เผาผลาญแคลอรี่ และสุขภาพจะดีขึ้น” จากประสบการณ์ที่ได้โค้ชลดน้ำหนักมา คนส่วนใหญ่จะเดินแค่วันละ 3,000-4,000 ก้าวเท่านั้นโดยประมาณ  ก็เดินแค่เช้าเดินเข้าที่ทำงาน เที่ยงเดินไปกินข้าว (ร้านใกล้ๆ ที่ทำงาน) เย็นก็เดินไปขึ้นรถเมล์หรือขับรถกลับบ้าน ก็ดังเหตุผลที่ผมบอกละครับ เลยทำให้การเผาผลาญแคลอรี่ของเราน้อยกว่า แคลอรี่จากอาหารที่กิน เกิดการสะสมไขมัน เราก็จะค่อยๆ น้ำหนักเพิ่มขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย จนโรคอ้วนมาเยือนเราในที่สุด

แต่ถ้าเราเล่นเกมส์โปเกมอน แล้วเดินเก็บโปเกมอนไปยังที่ต่าง ๆ สนุกด้วย ลืมไปเลยว่าเดินไปไกลเท่าไหร่แล้ว แบบว่า เห็นตัวโปเกมอนกระโดดท้าทาย หยอง หยอง ไม่ได้ต้องจัดการเก็บซะ สนุกจนลืมเหนื่อยไปเลย ผมเนี่ย! พอเที่ยงปั๊บ! รีบลุกออกจากโต๊ะทำงานทันทีเลย เดินออกไปนอกที่ทำงานเก็บโปเกมอน ก่อนหาร้านกินข้าว พอกินเสร็จก็ไม่รีบกลับเดินหาโปเกมอนอีกพักนึง เดินออกกำลังแบบเต็ม ๆ เก็บเช้า เที่ยง และเย็น รับรองเกิน 10,000 ก้าวแน่นอน แบบเพลินๆ เลยครับ

ถ้าเราไม่รู้ว่าเราเดินไปเท่าไหร่ ? สบายมากครับให้ โหลดแอพ Moves  มาไว้บนสมาร์ทโฟน แอพนี้สามารถบอกเราได้ว่า

  • Steps หรือจำนวนก้าวเดินของเรา ว่าเราเดินไปเท่าไหร่ ? ก็เอาให้ทะลุ 10,000 ทุกวันนะครับ
  • Distance ระยะทางที่เราเดินเป็นกิโลเมตร
  • Time บอกเวลาว่าเดินกี่นาที
  • Calories บอกว่าที่เราเดิน เผาผลาญไปกี่ แคลอรี่
  • Time line บอกสถานที่ที่เราไปว่าเป็นที่ไหนบ้าง ? เดิน วิ่ง หรือขับรถไป
Processed with MOLDIV

แอพ Moves

อีกวิธีนึงที่จะนับก้าวก็คือ ใช้สายรัดข้อมือ เช่น สายรัดข้อมือ Inbody เป็นตัวนับก้าวให้ครบ 10,000 ก้าว แถมสายรัดตัวนี้ยังสามารถวัดมวลกล้ามเนื้อ ไขมัน ได้ด้วยซึ่งเป็นสายรัดข้อมือยี่ห้อเดียวในปัจจุบันนี้ที่ทำได้ ทำให้เราสามารถลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้นและลดได้จริง ๆ สายรัดข้อมือ Inbody ต้องใช้คู่กับแอพ Inbody บนสมาร์ทโฟนด้วย อย่าลืมโหลดล่ะครับ

Processed with MOLDIV

สายรัดข้อมือ Inbody

เป็นไงครับ สนุกด้วย เบิร์นแคลอรี่ไปด้วย เพื่อนๆ ผมที่ตอนแรกทำยังไงก็เดินก้าวไม่ถึง 10,000 ก้าวสักที ประทานโทษนะครับตอนนี้เดินทะลุ 10,000 ก้าวไป ก็เพราะเดินเก็บโปเกมอนนี่ละครับ แต่ก็แบ่งเวลาเล่นดีๆ อย่าให้เสียงานที่ทำนะครับ และระมัดระวังการเดินเล่นในบางพื้นที่ อาจจะเดินชนเสาไฟ ตกท่อ ออกถนน ระมัดระวังด้วยครับ ตอนนี้ขอตัวไปเก็บโปเกมอนก่อนนะครับ เลิกงานแล้ว แต่น แต๊น โปเกมอนจ๋า อยู่ไหน มามะ มาให้จับซะดีๆ

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

 

3 ท่า 5 นาที สร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มเผาผลาญให้หุ่นดีเว่อร์! ปัง!!!

อยากรูปร่างดี หุ่นดี ใส่เสื้อผ้าสวยเดินไปไหนก็มีคนมอง มีคนชมว่าหุ่นดีจัง! แต่ไม่มีเวลาออกกำลัง เช้าตื่นแต่ไก่ยังหลับอยู่เลย แล้วก็ทำงาน ทำงาน กลับบ้านก็มืดค่ำ ไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกที่บ้านเลย จนกลายสภาพจากอ้อนแอ้น เป็นอวบอิ่ม ทำยังไงดี ?

การที่เราจะรูปร่างดีนั้น นอกจากการควบคุมแคลอรี่แล้ว การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน การที่ร่างกายของเราเผาผลาญแคลอรี่ได้มากน้อย ขึ้นอยู่กับมวลกล้ามเนื้อว่ามีมากหรือน้อย ถ้ามีน้อยก็อ้วนง่าย! ถ้ามีมากก็อ้วนยาก! การสร้างมวลกล้ามเนื้อก็ต้องออกกำลังกาย (กรรมวิธีสร้างกล้ามเนื้อ) และเพิ่มโปรตีนคุณภาพ (ซ่อมแซมและเป็นวัตถุดิบในการสร้างกล้ามเนื้อ)

แต่ตอนนี้เราจะมาพูดถึงการออกกำลังเพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อกันอย่างเดียวนะครับ ผมมี 3 ท่า 5 นาที มาแนะนำมีข้อดีคือ

  1. ใช้เวลาน้อย เหมาะสำหรับคนเวลาน้อยนิด
  2. สร้างมวลกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้ทั้งตัว คุ้มค่าต่อเวลาแค่ 5 นาที
  3. ทำในห้องนอน หน้าห้องน้ำ ห้องครัว หรือทุกที่แล้วแต่สะดวกละกัน
  4. ไม่ต้องมีอุปกรณ์ใดๆ ให้ยุ่งยาก

เริ่มจากท่าแรก Push Up (บริหารกล้ามเนื้อส่วนบนทั้งหมด)

ท่านี้บริหาร อก หลังแขน ไหล่ ท่านี้เป็นสุดยอดของการบริหารกล้ามเนื้อส่วนบน เล่นท่านี้ท่าเดียวได้ส่วนบนทั้งหมด สาวๆที่เล่นท่านี้กล้ามเนื้อช่วงไหล่และแขนจะกระชับใส่เสื้อแขนกุด สายเดี่ยว สวยจนชายมองเหลียวหลังเลย ถ้าเป็นชายหนุ่มละก็ ใส่เสื้อกล้าม โชว์กล้ามเนื้อไหล่แน่นๆ จนสาวอยากซบนานๆ เลยเชียว!

ทำ 10-15 ครั้งต่อเซ็ท วันละ 4 เซ็ท เช้าตื่นนอน 2 เซ็ท เย็นก่อนอาบน้ำ 2 เซ็ท

Processed with MOLDIV

ท่า Push Up (สำหรับผู้ชาย)

image

ท่า Push Up (สำหรับผู้หญิง)

ท่าที่สอง Plank (บริหารกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว)

ท่า Plank เป็นท่ายอดฮิตที่จะทำให้หน้าท้อง กับกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวแข็งแรง แถมยังทำให้หลังส่วนล่างแข็งแรงขึ้นด้วย ใครอยากมีซิกส์แพ็คต้องท่านี้เลย นักกีฬายิ่งต้องเล่นเลย เพราะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวที่แข็งแรงจะช่วยให้การเล่นกีฬาดียิ่งขึ้น สาวๆ ก็จะมีเอวเป็นเอว เฟิร์มสวยโชว์ได้ไม่อายใคร

ทำค้างนิ่งไว้ 30-45 วินาทีต่อเซ็ท เช้าตื่นนอน 2 เซ็ท เย็นก่อนอาบน้ำ 2 เซ็ท

Processed with MOLDIV

ท่า Plank

ท่าสุดท้าย Squats (บริหารกล้ามเนื้อส่วนล่าง)

ท่านี้ได้กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า ด้านหลัง ก้น แบบเต็มๆ ผลที่ได้คือ ขากระชับมากขึ้น และก้นจะกระชับไม่หย่อนห้อย สวยงามน่าตีก้น ผลต่อสุขภาพที่ได้คือ ข้อต่อเข่า และกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ช่วยลดการบาดเจ็บข้อต่อเข่า กล้ามเนื้อขาเป็นกล้ามเนื้อที่ใหญ่มาก ส่งผลให้อัตราเผาผลาญเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไขมันลดลงได้

ทำ 10-15 ครั้งต่อเซ็ท วันละ 4 เซ็ท เช้าตื่นนอน 2 เซ็ท เย็นก่อนอาบน้ำ 2 เซ็ท

Processed with MOLDIV

ท่า Squats

การสร้างกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญ สิ่งสำคัญคือ ความสม่ำเสมอ ทำให้เป็นนิสัย การปลูกฝังนิสัยการออกกำลัง คือ ต้องอดทนทำให้ได้ 21 วัน เพราะการทำสิ่งใดต่อเนื่องกัน 21 วัน เซลล์สมองจะมีการสร้างเซลล์นิสัยนั้นขึ้นมาและมีขนาดที่โตขึ้นเรื่อย กลายเป็นนิสัยหลักๆของคุณ แล้วถ้าคุณทำให้มันเป็นเรื่องสนุก ท้าทาย มีความสุข คุณก็จะยิ่งชอบทำสิ่งนั้น เพราะมันสนุกและเป็นนิสัยของคุณ

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

โรคอ้วน (Obesity) ไม่ลดน้ำหนัก โรคเพียบ!

โรคอ้วน หรือภาวะโภชนาการเกิน คือ การที่ร่างกายสะสมไขมันไว้มากผิดปกติ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติ ของระบบเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย (Metabolic syndromes) เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง

image

ปัจจุบันงานวิจัยทางโภชนาการระบุสาเหตุของโรคอ้วนไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุความผิดปกติของร่างกาย หรือความผิดปกติของระบบประสาท บางสาเหตุป้องกันได้ ในขณะที่บางสาเหตุก็ไม่สามารถป้องกันได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสาเหตุของการอ้วนจะเป็นอย่างไร มักจะจบลงด้วยเหตุผลของการที่ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายจะใช้ออกได้หมด พลังงานส่วนที่เหลือใช้จะถูกสะสมในรูปของไขมันใต้ผิวหนัง แต่จะเป็นบริเวณใดก็ขึ้นกับหลายปัจจัย สำหรับบริเวณที่ไขมันสะสมแล้วทำให้ เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังสูงที่สุดก็คือ บริเวณภายในช่องท้อง หรือพุงนั่นเอง

งานวิจัยทางโภชนาการจำนวนมาก ได้ศึกษาหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลย์ของพลังงานที่กินกับที่ใช้ไป หากสามารถกำจัดสาเหตุนี้ได้เราก็จะสามารถสมดุลย์พลังงานได้ การควบคุมน้ำหนักก็จะประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น 

ข้อมูล : ผศ. ดร. สุวิมล ทรัพย์วโรบล ภาควิชา โภชนาการและการกำหหนดอาหาร  คณะสหเวชศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Thank you for picture from : www.ThedailyTweight.com

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

รู้ได้อย่างไร ? ว่าคุณอ้วน!

จริงดิ! ฉันอ้วนเหรอ…ไม่จริง ไม่จริ๊ง?

ประโยคนี้มักจะได้ยินกันบ่อยนะครับ
หรืออย่าง…ถึงอ้วนฉันก็น่ารักนะ! นั่น
ว่าไปได้เรื่อย ๆ หุหุ!! การที่มีคนทักก็
แสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่เขาเริ่ม
สังเกตุเห็นแล้วล่ะ ! แต่เราเลือกที่จะ
แกล้งมองไม่เห็น เอ้า! แล้วตกลงจะรู้
ได้อย่างไรว่า… อ้วนหรือไม่อ้วน มีวิธี
เช็คดูครับด้วยตัวเองง่าย ๆ ••>

1. ตรวจวัดองค์ประกอบของร่างกาย
คือ วัดมวลไขมัน, มวลกล้ามเนื้อ ทำ
ได้โดยใช้เครื่องชั่งหรืออุปกรณ์ที่มัน
สามารถวัดมวลไขมันและมวลกล้าม
เนื้อได้ และคำนวณให้เราดูได้ว่าเรา
อ้วนหรือไม่ เช่น เครื่องชั่งออมรอน
(Omron)
หรือสายรัดข้อมือ Inbody
เป็นต้น

2. คำนวณดัชนีมวลกาย (BMI) สูตร
การคำนวณคือ
BMI = น้ำหนัก (กก.)/ส่วนสูง(ม.)
(ยกกำลังสอง)
ตย. หนัก 68 กก. สูง 173 ซม.
BMI = 78 กก. /(1.73 x 1.73)
ได้ค่า BMI = 26 นำไปเทียบกับ
ตารางนี้…

น้อยกว่า 18.0………….น้ำหนักน้อย
18.0-22.9……………..น้ำหนักปกติ
23.0-24.9………………น้ำหนักเกิน
25.0-29.9……………………….อ้วน
30.0-34.9……………….อ้วนมากก
35.0-39.9………………อ้วนรุนแรง
40.0 ขึ้นไป……………อ้วนอันตราย

3. วัดเส้นรอบพุง ความเสี่ยงต่อการ
เป็นโรคเพิ่มขึ้นเมื่อรอบพุงวัดได้
ผู้ชาย มากกว่า 90 ซม. (36 นิ้ว)
ผู้หญิง มากกว่า 80 ซม. (32 นิ้ว)

4. สัดส่วนเส้นรอบเอวต่อเส้นรอบของ
ตะโพก
คือ…

เส้นรอบเอว/เส้นรอบตะโพก ได้ค่า…
ผู้ชาย มากกว่า 0.9
ผู้หญิง มากกว่า 0.8

ถ้าเกินนั่นคือคุณอ้วนและเสี่ยงต่อการ
เป็นโรคเพิ่มขึ้นไปด้วย

จำไว้ได้เลยนะครับว่าาาา… อ้วนเสี่ยง
ต่อการเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน
ความดัน หลอดเลือด หัวใจ อัมพาต
พิการ และอีกเพียบที่ตามมา ผมว่าถึง
เวลาแล้วนะครับที่เราควรจะต้องกันมา
เอาใจใส่ดูแลตัวเอง ถามตัวเองดูครับ
ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังงงงง !!!!!

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

รีวิว แอพออกกำลัง Seven Minute เพื่อลดน้ำหนัก

พูดถึงกระแสการออกกำลังช่วงนี้ถือว่า มาแรงมาก ๆ เมื่อก่อนผมไปทำงานออกจากบ้านตีห้าครึ่ง เงียบ ไม่มีใคร มีแต่คนขับรถออกไปทำงานเช้ากันทั้งนั้น แต่สักระยะที่ผ่านมาเริ่มสังเกตเห็นว่า มีสาวมาก สาวน้อย หนุ่มอ้วน หนุ่มเหลือน้อย พาเหรดกันออกมาวิ่งเหยาะ ๆ บิดซ้าย บิดขวา ยืดเหยียดกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งช่วงหยุดยาวหลาย ๆ วัน ขอบอก เพียบ!!! วันนี้ผมขอแนะนำแอพออกกำลังในมือถือที่ผมใช้เป็นประจำทุกวัน ซึ่งมันสามารถทำให้เราออกกำลังได้อย่างถูกต้อง ยิ่งคนที่กำลังจะเริ่มต้นออกกำลังก็เหมาะเลย

แอพ Seven Minute เราสามารถโหลดมาใช้งานได้จาก App Store ในระบบ ios ของ iPhone ได้ฟรี !

วิธีการใช้งาน แอพ Seven Minute

  1. เปิดแอพ Seven Minute
  2. เลือกโปรแกรมออกกำลัง เช่น Classic, Fat Burn เป็นต้น ก็ตามความต้องการเลยครับ
  3. กดตรง LET’S GO เพื่อเริ่มโปรแกรมการออกกำลัง
  4. เริ่มออกกำลัง GET READY นับถอยหลัง เริ่ม 1 2 3 4 ทำตามแอพแนะนำจนครบ 12 ท่า สามารถแตะเลื่อนข้าม หรือถอยหลังได้
  5. หากไม่เข้าใจแต่ละท่าว่าทำอย่างไร ? ก็แตะที่รูปจะมีคำอธิบาย แต่เป็นภาษาอังกฤษ สบายอยู่แล้วคนไทยเก่งภาษาอังกฤษ
  6. เราสามารถดูประวัติวันเวลาที่ออกกำลังได้
  7. เราบันทึกโปรไฟล์ของเราเองได้ และยังสามารถดึงข้อมูลจาก แอพ Health ของ iPhone มาได้ด้วยนะครับ
  8. ถ้าไม่อยากฟังเสียงจากแอพ ก็สามารถปิดเสียงได้ด้วย เข้าไปที่ Setting รูปฟันเฟือง
S__28229662

ภาพในแต่ละหน้าของแอพ Seven Minute

สรุปผลจากการที่ผมได้ออกกำลังด้วยแอพ Seven Minute ได้มา 3 คำนี้เลยครับ  ง่าย  เร็ว  ดี โหลดมาประจำการในไอโฟนของเราได้เลย

  • ง่าย คือ ก็แค่ทำตาม
  • เร็ว คือ มันใช้เวลาแค่ประมาณ 7 นาที เท่านั้น
  • ดี คือ ได้ทั้งเบิร์นแคลอรี่และสร้างกล้ามเนื้อ

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ลดน้ำหนักจนได้น้ำหนักที่ต้องการได้อย่างไร บอดี้คีย์ (BodyKey)

         ลดน้ำหนัก  ผมลองเสิร์ชหาคำนี้ใน Google  แม่จ้าว!!!  1,670,000 คือผลลัพธ์ที่ได้  นั่นแสดงว่าในโลกออนไลน์มีเรื่องเกี่ยวกับลดน้ำหนักมากมายมหาศาลเลยทีเดียว แล้ววิธีไหนคือ วิธีที่ดี ถูกต้อง ปลอดภัย ล่ะ !!! ผมก็เป็นคนนึงล่ะที่เจอปัญหาเรื่อง น้ำหนักตัว อวบ อ้วนท้วนสมบูรณ์พูนสุข ก็กินอะไร ? ก็อร๊อย อร่อย ไปหมด ผมจำได้ว่าตอนผมเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ เมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว น้ำหนักแค่ 56 กิโล เท่านั้นเอง ไม่น่าเชื่อ!  บริษัทเลี้ยงดี อยู่ดี กินดี มีความสุข น้ำหนักของผมเพิ่มเป็น 77 กิโล เพิ่มมา 21 กิโลกรัม จากหนุ่มน้อยรูปร่างบอบบาง สู่หนุ่มใหญ่รูปร่างตุ้ยนุ้ย เลี้ยงพุงกะทิไว้ด้วย เตะบอลก็ไล่เขาไม่ทัน เดินขึ้นกะไดก็ลิ้นห้อย ออกแรงนิด ออกแรงหน่อย ก็หอบ แฮ่ก แฮ่ก !! สาวๆเรียกป๋าขาซะงั้น  อึดอัดสุดๆ กางเกง เสื้อผ้าเริ่มปริ เริ่มทนตัวเองไม่ไหว ยิ่งตอนอาบน้ำเสร็จมองดูตัวเองในกระจก นี่กรู!!! เหรอวะเนี่ย ยิ่งมีคนทักว่า อ้วน อวบ โคตร! ขาดความมั่นใจเลย นี่คือที่มาของการปฏิวัติตัวเอง ด้วยการต้องลดน้ำหนักเป็นการด่วน! เริ่มด้วย……

อย่างแรกต้องรู้สาเหตุความอ้วนก่อนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ? ถึงค่อยหาวิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุด สาเหตุ คือ แคลอรี่หรือกิโลแคลอรี่ หน่วยพลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไป เพื่อให้ร่างกายของเราใช้งานทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดิน นั่ง วิ่ง นอน ทำงาน ออกกำลัง เบ่งตด หงุดหงิด สรุปทุกกิจกรรมต้องใช้พลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไป จำไว้สองคำ คือ กินกับใช้ ดังนี้

  1. กิน  เท่ากับ  ใช้  ผลลัพธ์ คือ น้ำหนักคงที่
  2. กิน  มากกว่า  ใช้  ผลลัพธ์ คือ น้ำหนักเพิ่มขึ้น
  3. กิน  น้อยกว่า  ใช้  ผลลัพธ์ คือ น้ำหนักลดลง
สาเหตุที่น้ำหนักเพิ่ม คือ ข้อ 2  แต่ถ้าอยากผอมก็ต้องทำข้อ 3  ถ้าอยากรักษาน้ำหนักก็ทำตามข้อ 1

S__26247170

ต่อมาก็หาข้อมูลวิธีการลดน้ำหนักแบบต่าง ๆ ดูข้อดี ข้อเสียของแต่ละวิธี จนสรุปได้แบบนี้เลย มาดูกันว่าเป็นยังไงบ้าง ? แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ตามนี้เลย……

         กลุ่มที่ 1  อดอาหาร กินยาลดน้ำหนัก กินกาแฟลดน้ำหนัก   วิธีนี้คือ กินหรือทำให้กินอาหารน้อยลง ทำให้พลังงานหรือแคลอรี่ที่ร่างกายได้รับน้อยลงไปด้วย ไม่ต้องพูดถึงสารอาหารต่าง ๆ ก็น้อยลงไปหรือไม่ครบ และทำให้กล้ามเนื้อซึ่งเป็นเตาเผาแคลอรี่สูญสลายเหลือน้อยลง ระบบเผาผลาญแคลอรี่ต่ำลง น้ำหนักลดลงแบบโทรม ๆ นานเข้าอาจทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ พอออกจากคอร์สลดน้ำหนัก ไม่นานน้ำหนักจะเพิ่มกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว กินนิดเดียวก็อ้วน ซึ่งเรียกว่า อาการโยโย่ และจะอ้วนผอม อ้วนผอม ไปแบบนี้ตลอดที่ใช้วิธีนี้ แถมเมื่อกลับมาอ้วนใหม่ น้ำหนักจะมากกว่าเดิมทุกครั้ง กลายเป็นว่า   “ยิ่งลด ยิ่งอ้วนมากกว่าเดิม”

         กลุ่มที่ 2  คุมแคลอรี่ด้วยการควบคุมอาหาร   ผมเคยลดด้วยวิธีนี้มาแล้วครั้งนึง กินน้อย เลือกกินอาหารที่ให้แคลอรี่ต่ำ แต่การที่จะกินให้ได้สารอาหารครบ แต่ได้แคลอรี่ต่ำ เป็นเรื่องที่ยากมากๆ สำหรับชีวิตคนทำงาน เดินดิน กินข้าวแกง ไม่ได้มีเวลาทำอาหารกินเอง น้ำหนักลดลงนะครับ แต่แค่ 3 กิโล เอวลดไปแค่นิ้วเดียว เศร้าจัง! หลังจากนั้น ไม่ว่าจะทำยังไง มันก็ไม่ลดอีกเลย นิ่ง นิ่ง นิ่ง จนผมต๊อแต๊ !!! เลิกลดน้ำหนักไปเลย ถามว่าเพราะอะไรมันถึงได้แค่นั้น แล้วนิ่ง ก็จากวิธีนี้ คล้ายกับกลุ่มแรกละครับ กินน้อย แคลอรี่น้อย สารอาหารน้อยไม่ครบ ทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อเตาเผาพลังงานของร่างกาย ระบบเผาผลาญเสียหายยับเยิน สุดท้ายกินน้อยลงเท่าไหร่ ก็ไม่ลด แถมพอเลิกลดน้ำหนักก็กลับมาอ้วนหนักกว่าเดิมอีก โยโย่ อีกเหมือนกลุ่มแรก เฮ้อ !!!! ดูตารางด้านล่างเป็นน้ำหนักตอนที่ผมใช้วิธีนี้ลง พอดีผมจดไว้ที่ข้างตู้เสื้อผ้า

S__26189829

         กลุ่มที่ 3  ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารและตัวช่วย   ซึ่งวิธีนี้ต้องลงทุนครับ กับตัวทดแทนมื้ออาหารและตัวช่วย เพื่อลดน้ำหนัก เพราะตัวทดแทนมื้ออาหารทำให้เราได้ปริมาณอาหารและแคลอรี่น้อยลง แต่กลับกันตัวทดแทนมื้ออาหารให้สารอาหารครบและเพียงพอในแต่ละมื้อ รักษาและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ทำให้ระบบเผาผลาญของเราไม่เสียสมดุลย์ กลับเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ น้ำหนักลดได้มากกว่าวิธีอื่นในระยะเวลาที่เท่ากัน ไม่โทรม ไม่ทรมาน และพอออกจากคอร์สก็ไม่กลับไปอ้วนอีก เพราะระบบเผาผลาญยังดีอยู่ ไม่โยโย่!!!

S__26181708

จากข้อมูลเบื้องต้นผมเลือกวิธีการลดน้ำหนักด้วยผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารและตัวช่วย 

  1. ตัวทดแทนมื้ออาหาร เป็นตัวหลัก
  2. ตัวหลักช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมร่างกายระหว่างการลดน้ำหนัก 
  3. ตัวช่วยบล้อกแป้งและน้ำตาล 
  4. ตัวช่วยเพิ่มการเผาผลาญและรักษามวลกล้ามเนื้อ 
  5. ตัวช่วยปรับระบบการเผาผลาญให้สมดุล

ระยะเวลาที่ผมเข้าโปรแกรมเป็นเวลา 8 สัปดาห์ ผมว่าเรามาร่ายกันดีกว่าว่ายังไง

1. ตัวทดแทนมื้ออาหาร ตัวนี้เป็นตัวหลักเลยสำหรับการลดน้ำหนักโดยการควบคุมแคลอรี่ โดยคุณลักษณะและประโยชน์ดังนี้เลย

  • ต้องให้สารอาหารครบถ้วนที่ร่างกายต้องการในแต่ละมื้ออาหาร เช่น วิตามิน เกลือแร่ โปรตีน ไฟเบอร์ ฯลฯ
  • พกพาสะดวก เมื่อต้องเดินทาง
  • ให้พลังงานต่ำ

2. ตัวช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมร่างกาย ตัวนี้เป็นตัวที่สำคัญในระยะยาวหลังจากออกโปรแกรม ช่วยไม่ให้เราเกิดอาการ โยโย่ เอ็ฟเฟ็ค มีประโยชน์ดังนี้เลย

  • ต้องให้กรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน
  • ร่างกายสามารถดูดซึมได้มาก และนำไปใช้งานได้ทันที

3. ตัวช่วยบล้อกแป้งและน้ำตาล นี่เป็นตัวช่วยที่สำคัญเลยครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วคนที่อ้วน น้ำหนักเพิ่มก็มาจากแป้งและน้ำตาลที่กินมากเกินไป คนไทยกินข้าวเป็นหลัก ยิ่งมื้อไหนเจอกับข้าวรสชาติอร่อย มีเบิ้ลสอง เบิ้ลสาม แน่นอน อย่าคิดว่ากินข้าวแล้วไม่อ้วน นะครับ อ้วนได้ถ้ากินแล้วนอนหรืออยู่นิ่ง ๆ ใช้ไม่หมด ร่างกายก็จะแปรรูปเอาไปเก็บสะสมไว้ใช้ พอรุ่งเช้ามันก็เรียกร้องของใหม่ทันที ไม่ได้เอาของเก่าเก็บมาใช้นะครับ พอสะสมนานเข้าก็น้ำหนักพุ่งพรวด อ้วนท้วนสมบูรณ์เรียบร้อย

  • ช่วยบล้อกแป้งและน้ำตาล ไม่ให้ร่างกายดูดซึมไปเก็บสะสมเป็นไขมันตามร่างกาย
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล

4. ตัวช่วยเพิ่มการเผาผลาญและรักษามวลกล้ามเนื้อ

  • ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญแคลอรี่ให้มากขึ้น ยิ่งร่วมกับการออกกำลังกายด้วย ยิ่งเผาผลาญได้มากขึ้น
  • ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อให้คงอยู่ ไม่หายไประหว่างเข้าโปรแกรม

5. ตัวช่วยปรับระบบการเผาผลาญให้สมดุล

  • ช่วยปรับระบบการเผาผลาญที่เสียหายให้ทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยให้อัตราการเผาผลาญเพิ่มขึ้น

สรุปสุดท้าย

ระยะเวลา 8 สัปดาห์

ลดน้ำหนักได้มากกว่าการควบคุมอาหารด้วยตัวเองเกือบ 2 เท่า คือ 6 กิโลกรัม (เอาแค่เดือนแรกเท่ากัน) คุมอาหารเองได้แค่ 3 กิโลกรัม จบคอร์ส 8 กิโลกรัมบริบูรณ์

เอว ลดไป 4.5 นิ้ว กางเกงต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะพอรัดเข็มขัดแล้ว มันย้วยเหมือนกางเกงเลไปเลย

ตะโพก ลดไป 3.5 นิ้ว เมื่อก่อนเล่นบอล ชอบโดนเพื่อนแซวว่า “มึงวิ่งช้า เพราะหนักตูด” แหม! ทีเดียวไม่เท่าไหร่ แต่บ่อยเข้ามันปวดใจจิ๊ดทีเดียว

สภาพร่างกายไม่ได้ดูโทรม เหี่ยว หย่อนยานอะไรเลย ปกติ แต่ไซส์เราลดลง วิ่ง เดิน ออกกำลังสบายตัวจริง ๆ รู้งี้ลดตั้งนานแล้ว น้อง ๆ ที่ทำงานยังทักกันเลยว่า “พี่ไปทำไรมา หล่อ ผอม เพรียว หน้าตาดูเด็กลง” ผมงี้! ยิ้มปากแทบฉีก นี่ไง! คำพูดที่อยากได้ยิน

ดูตารางที่ผมทำเปรียบเทียบไว้ กับรูปด้านล่างดูครับ หวังว่าประสบการณ์การลดน้ำหนักของผมจะช่วยให้ทุกคน ตัดสินใจเลือกได้ว่า ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องลดน้ำหนัก เพื่อรูปร่างที่ดี และสุขภาพที่ดี

S__26796034

รูปกราฟ เปรียบเทียบการลดน้ำหนักระหว่างควบคุมอาหารด้วยตัวเอง (เส้นสีฟ้า) กับตัวทดแทนมื้ออาหารและตัวช่วย (เส้นสีเขียว)

ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูนะครับว่า ทำไมเราถึงต้องลดน้ำหนัก ลดแล้วเราจะเป็นอย่างไร ได้คำตอบแล้ว ก็ตัดสินใจเองครับว่าจะยังไงดี

“การเริ่มต้นลดน้ำหนักที่ดีที่สุด คือ เริ่มเดี๋ยวนี้ เพราะถ้าคุณไม่ตัดสินใจลดเอง เมื่อถึงเวลานั้น ก็อาจจะมีหมอมาบอกให้คุณลดน้ำหนักอยู่ดี”

เป็นเพื่อนแชทพูดคุย แชร์เพิ่มเติมกันได้ครับที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866