แคลเซี่ยม (Calcium) สำคัญอย่างไร

แคลเซี่ยมเป็นธาตุโลหะที่คนเรารู้จักกันดี เราเรียนกันมาว่าแคลเซี่ยมทำให้กระดูกแข็งแรง กล้ามเนื้อ หัวใจ สมอง เส้นประสาทต่างๆ ต้องมีแคลเซี่ยมเป็นตัวช่วยให้สามารถทำงานได้ปกติ

มีใครทราบบ้าง ? เรามีแคลเซี่ยมเท่าไหร่ อยู่ตรงไหน แคลเซี่ยมส่วนใหญ่ 99% อยู่ที่กระดูกและฟัน มีน้ำหนักรวมกันประมาณ 1,000 มิลลิกรัม หรือ 1 กิโลกรัม ด้วยเหตุนี้กระดูกจึงเป็นท้องพระคลังแคลเซี่ยม ช่วยควบคุมแคลเซี่ยมในเลือดให้สมดุล เมื่อต่ำก็เติม เมื่อสูงก็เก็บ ร่างกายระบายแคลเซี่ยมออกทางปัสสาวะ หรืออุจจาระ เพราะเหตุนี้ เราถึงต้องเติมแคลเซี่ยมโดยการกินเข้าไปทดแทน ซึ่งก็มาจากอาหาร เช่น เต้าหู้ นม ถั่ว ผักสีเขียว หรือเติมแคลเซี่ยมจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คลิก! ลิงค์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แคล แมก ดี

อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อขาดแคลเซี่ยม ที่ฮิตๆ เลยก็ โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) มักพบในคนสูงอายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน การที่กระดูกพรุนนั้น กระดูกที่มีแคลเซี่ยมน้อย จะเปราะบาง ปรุพรุน แตกหักง่าย

สรุป ร่างกายของคนเราวันนึงจะขับแคลเซี่ยมออกจากร่างกายประมาณ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน เราจึงควรกินแคลเซี่ยมจำนวนนั้นเข้าไปทดแทน และเราต้องการวิตามิน ดี เพื่อการดูดซึมแคลเซี่ยมจากลำไส้เข้าในเลือด

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line id : chavanut

This image has an empty alt attribute; its file name is line-add-friend-1-300x62-1.png

กรดอะมิโนกับการสร้างกล้ามเนื้อ

กรดอะมิโน (Amino Acid) เป็นหน่วยพื้นฐานของโปรตีนที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ทุกชนิด รวมถึงมนุษย์ กุ้งหอย ปู ปลา พืชทุกชนิด ทั้งในน้ำบนบก

ทราบกันหรือไม่ว่า? ร่างกายมนุษย์ มีกรดอะมิโนอยู่มากถึง 20% รองลงมาจากน้ำเท่านั้น ที่มีมากถึง 60% นอกจากนี้ก็เป็นไขมัน 15% อื่นๆ อีก 5% โดยกรดอะมิโนจะมีการแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

กรดอะมิโนจำเป็น (Essential amino acid : EAA) ซึ่งร่างกายของเราไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ในร่างกาย ต้องรับเข้ามาจากภายนอก จึงเรียกว่ากรดอะมิโนจำเป็น (จำเป็นต้องรับเข้ามา) มีอะไรบ้าง มาดูกัน

  • Lysine
  • Histidine
  • Threonine
  • Phenylalanine
  • Methionine
  • Tryptophan
  • Valine
  • Leucine
  • Isoleucine

กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น (Non-essential amino acid : NEAA) เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายของเราสังเคราะห์ได้เองในร่างกาย ได้แก่

  • Arginine (กรดอะมิโนจำเป็นในยามฉุกเฉิน)
  • Asparagine
  • Aspartic acid
  • Glutamine
  • Glutamic acid
  • Alanine
  • Proline
  • Cryteine
  • Tyrosine
  • Glycine
  • Serine

การดูดซึมของโปรตีนและกรดอะมิโน

ระยะเวลาของการดูดซึมของโปรตีนและกรดอะมิโน

กินเมื่อไหร่ดี อัตราการสร้างโปรตีนกล้ามเนื้อในร่างกายจะสูงกว่ามาก เมื่อเรารับประทานกรดอะมิโนทันที หลังออกกำลังกายทันที เทียบกับ 2 ชั่วโมงหลังการออกกำลังกาย

กรดอะมิโนกับการสร้างกล้ามเนื้อ ปริมาณโปรตีนสูงสุดที่สามารถนำเอาไปใช้สร้างกล้ามเนื้ออยู่ที่ประมาณ 2 กรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักตัว ยิ่งบวกกับการออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้การสร้างกล้ามเนื้อได้ดีกว่าการไม่ออกกำลังกาย

องค์ประกอบพื้นฐานของการสร้างกล้ามเนื้อ

การออกกำลังกาย

  • การออกกำลังกายแบบมีแรงต้านสำหรับกล้ามเนื้อมัดหลัก
  • โดยออกกำลังกาย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ทำซ้ำ 5-15 ครั้ง

โภชนาการที่เหมาะสม

  • บริโภคโปรตีนอย่างเพียงพอ
  • ได้รับกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 9 ชนิด
  • ปริมาณแคลอรี่เหมาะสมกับการคงน้ำหนักตัวหรือลดน้ำหนัก

การพักและฟื้นฟู

  • การนอนหลับอย่างเพียงพอ ทั้งจำนวนชั่วโมง และคุณภาพการนอน
  • วางแผน “ลดความหนัก” ของการออกกำลังกาย
  • จัดการความเครียดด้วยกิจกรรมที่สนุกสนานและผ่อนคลาย

กรดอะมิโนกับการสร้างกล้ามเนื้อ ปริมาณโปรตีนสูงสุดที่สามารถนำเอาไปใช้สร้างกล้ามเนื้ออยู่ที่ประมาณ 2 กรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักตัว ยิ่งบวกกับการออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้การสร้างกล้ามเนื้อได้ดีกว่าการไม่ออกกำลังกาย

การเสริมกรดอะมิโนจำเป็น (EAA) เปรียบเทียบกับเวย์โปรตีน

การสร้างกล้ามเนื้อ เป็นปัจจัยที่ทำให้สุขภาพของเราดี ทั้งร่างกาย การเสริมด้วยกระอะมิโนจำเป็น เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ซึ่งมีการสลายทุกวัน และยิ่งรวมกับการออกกำลังกาย ก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีกสำหรับกล้ามเนื้อร่างกายของเรา

ขอบคุณข้อมูลจาก : เอกสารการฝึกอบรม บิ้วท์กล้ามให้ฟิต ด้วยเอสเซนเชียล อะมิโน แอซิด โดย ดร.คริสติน มอร์ริส หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ด้านวิจัยโภชนาการและตรวจสอบทางคลินิก

คลิกลิงค์ ผลิตภัณฑ์กรดอะมิโนกับการสร้างกล้ามเนื้อ

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line id : chavanut

บอดี้ดีด้วยคีย์ของการลดและควบคุมน้ำหนัก

ปัญหาน้ำหนักส่วนเกิน รูปร่างไม่ดี หุ่นไม่สวย น่าจะเป็นปัญหาระดับชาติของผู้หญิง ผู้ชาย ในยุคนี้ ยุคของการอยู่ดีกินดี หาของกินอร่อยได้ง่าย แค่กดสั่งผ่านมือถือ ทุกสิ่งที่อยากกินก็มาส่งถึงหน้าบ้าน ผล คือ น้ำหนักพุ่ง หุ่นพัง ถ่ายรูปไม่สวย แถมซ้ำร้าย โรคร้ายอาจถามหา อย่างเช่น เสี่ยงเบาหวาน ไขมันพอกตับ พุง ข้ออักเสบ โรคเส้นเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ มะเร็ง มาเป็นหมู่คณะทีเดียวเชียว

ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคอ้วน ลงพุง หุ่นพัง ถึง 20.8 ล้านคน เป็นผู้ชาย 6.8 ล้านคน ที่เหลือเป็นผู้หญิงมากถึง 14 ล้านคน ผู้หญิงอ้วนมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ขอตกใจแป๊บ!! เพราะว่าโดยธรรมชาติ ผู้หญิงมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย ซึ่งมวลกล้ามเนื้อเป็นตัวเผาผลาญพลังงานนั่นเอง ในชาติอาเซียน ไทยอันดับ 2 รองจากแค่มาเลเซียเท่านั้นเอง น่าดีใจมั๊ย! เนี่ย!!!

สาเหตุก็เกิดจากการใช้ชีวิตของเรานี่แหละ ไม่มีอะไรซับซ้อน ทั้งเรื่อง การกิน การนอน กิจกรรมในชีวิตประจำวัน ในทุกๆวัน สะสมจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จนน้ำหนัก รูปร่างของเราเปลี๊ยนไป๋!!! เติบโตในแนวขยาย และปริมาตรเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น

ไอ้ตอนจะลดนี่ อยากลดวันนี้ พรุ่งนี้ผอมเลย อิอิ!!! มันเป็นไปม่ายล่าย ยังไงก็ต้องใช้เวลา หลายคนที่ลดน้ำหนักไม่ได้ ก็เพราะการลดน้ำหนัก มันเป็นการที่เราต้องชนะใจตัวเอง ซึ่งชนะยากที่สุด คือ ตัวเองนี่เอง แต่ก็จะบอกว่า จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย

วิธีแก้ ให้บอดี้ดีเหมือนเดิม ด้วยหลักการต่อไปนี้

  1. ลดแคลอรี่ที่กินต่อวัน 300-500 กิโลแคลอรี่ หรืออาจจะร่วมกับอุปกรณ์ติดตามน้ำหนัก
  2. เพิ่มการเผาผลาญ เช่น เคลื่อนไหวร่างกายไม่น้อยกว่า 10,000 ก้าวต่อวัน
  3. เทคนิคลดน้ำหนักอย่างสุขภาพดี อย่างรู้จักการควบคุมปริมาณอาหาร เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ฉลาดในการเลือกอาหารที่ดี และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีความรู้

คีย์สำคัญ คือการควบคุมแคลอรี่ในการกินแต่ละวัน พูดเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริง ไม่ง่ายที่จะทำโดยการควบคุมแคลอรี่ต่ำ โดยที่ยังได้สารอาหารครบถ้วน เพียงพอ แต่ในปัจจุบันมีตัวช่วยที่ง่ายกว่า อย่างตัวผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร โดยถ้าเราจะเลือกก็มีเกณฑ์การเลือกตามนี้

  1. ให้พลังงานแค่ 200-400 กิโลแคลอรี่ ต่อมื้อ
  2. มีปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ ในปริมาณที่เหมาะเสม
  3. มีสารอาหารที่ช่วยในการทำงานของทุกระบบของร่างกาย
  4. มีใยอาหาร เพิ่มกากใย กระตุ้นการขับถ่าย ปรับสมดุลทางเดินอาหาร
  5. กิน พกพาสะดวก

อย่างที่บอก คีย์ ของการลดและควบคุมน้ำหนัก คือการควบคุมแคลอรี่ เพราะ 7,000 กิโลแคลอรี่ เท่ากับน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ถ้าเรากินเกิน เหลือสะสมวันละ 500 ใน 1 สัปดาห์ เท่ากับ 3,500 กิโลแคลอรี่ ซึ่งน้ำหนักของเราจะเพิ่ม 0.5 กิโลกรัม เดือนนึงน้ำหนักของเราก็เพิ่ม 2 กิโลกรัม กลับกันถ้าเราลดแคลอรี่ได้วันละ 500 กิโลแคลอรี่ เดือนนึงเราก็จะลดน้ำหนักได้ 2 กิโลกรัม เช่นกัน

บอดี้ดี สุขภาพก็ดี ด้วยคีย์ ของการลด และควบคุมน้ำหนัก คือ การควบคุมแคลอรี่ โดยวิธีที่ง่ายสุดและได้ผล สำหรับการควบคุมแคลอรี่ คือ ควบคุมด้วย ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย การอบรม ความรู้เหนือกว่ากับการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน

คลิกลิงค์ ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line id : chavanut

สารอาหารดูแลสุขภาพสมอง และความจำ

คยเป็นกันมั๊ยครับ อยู่ๆก็ลืม คิดไม่ออก จำไม่ได้ มึนหัวตึ๊บ!!!! เมื่อก่อนไม่เคยเป็นนะ ทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ ที่ผ่านมาเราได้ดูแลสมอง โดยแนวทางโภชนาการเพื่อการดูแลสมองกันบ้างหรือเปล่า? คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ดูแลกันหรอกครับ เรามาดูแนวทางกันว่า แล้วเราจะดูแลสมองกันในเรื่องอะไร อย่างไรบ้าง?

การดูแลสุขภาพสมอง และความจำ
– ดูแลการไหลเวียนของโลหิตในสมอง
– ดูแลหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง
– ดูแลความดันโลหิต
– เสริมสารต้านอ็อกซิเดชั่น
– ลดอนุมูลอิสระ
– เพิ่ม Neurotransmitter (สารสื่อประสาท)
– ดูแลวิตามิน เกลือแร่ พลังงาน
– ดูแลสมดุลของฮอร์โมน

สารอาหารที่ช่วยดูแลสุขภาพของสมอง และความจำ

ซิสแทนเช (Cistanche)
ซิสแทนเช หรือโสมทะเลทรายเป็นสมุนไพรตำราแพทย์แผนจีน ประโยชน์คล้ายโสม งอกงามในพื้นที่ทะเลทราย Taklimakan ในมณฑลซินเจียง อุยกูร์ ซึ่งโสมทั่วไปไม่เติบโตในพื้นที่นี้ ใช้เป็นยาชูกำลัง หรือในสูตรสำหรับโรคไตเรื้อรัง อ่อนแรง ภาวะมีบุตรยากของสตรี ภาวะตกขาวผิดปกติ โรคเนื้องอกในมดลูก และอาการท้องผูกในวัยชรา เพิ่มภูมิต้านทาน เพิ่มพลังทางเพศ ป้องกันผมร่วง ปรับสมดุลฮอร์โมน ยืดอายุไข

  • มีสารไฟโตนิวเทรียนท์ คือ สารไกลโคไซด์ (Glycosides) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบของเนื้อสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เพิ่มสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ช่วยให้เซลล์สมองติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สารสกัดซิสแทนเช ช่วยกระตุ้นสาร BDNF (Brain Derived Neurotropic Factor) ทำหน้าที่ ฟื้นฟูการทำงานของเซลล์สมอง และอาจชะลอภาวะสมองเสื่อม
  • สารสกัดซิสแทนเช 300 มก. มีผลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจำได้ใน 6 สัปดาห์ (จากการทดลองในอาสาสมัคร)
  • องค์ประกอบทางเคมีส่วนใหญ่ ประกอบด้วยน้ำมันระเหย Phenylethanoid glycosides (PhGs), and polysacchrarides การศึกษาจำนวนมากเน้นไปที่ผลทางชีวภาพ รวมถึงการต้านอนุมูลอิสระ การป้องกันระบบประสาท ต่อต้านวัย ผลทางเพศ

สารสกัดจากใบแปะก๊วย
Flavonoids (Ginkoflavono glycosides), Terpene lactones (Ginkosides และ Bilobalides) ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้รวดเร็วขึ้น ทำให้สารอาหารให้พลังงานเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อได้มากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ดีขึ้น

Flavonoids (Ginkoflavono glycosides) ได้แก่ kaempferol, quercetin, flavones สารหลายตัวเป็นสารต้านอ็อกซิเดชั่น บางตัวลดการจับตัวของเกล็ดเลือด จึงนำไปใช้ในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด

  • ให้สารเอเชียติโคไซด์ (Asiaticoside) เอเชียติคแอซิด (Asiatic Acid) และบลามิโนไซด์ (Brahminoside)
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ โดยผ่านกลไกการยับยั้งการสร้างสารที่ทำลายเซลล์สมอง
  • ลดความเครียดจากการทำงานหนัก
  • ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของกำลังสมอง
  • ให้สารไตรเทอร์ปีนอยด์ไกลโคไซด์ (Triterpenoid Glycoside) และมาดิคาไซด์ (Madecasside) สามารถออกฤทธิ์เป็นสารต้านการอักเสบอย่างแรง (Strong -Anti Inflammatory Agent) ที่ช่วยบำรุงสุขภาพของหลอดเลือดให้แข็งแรง

การออกฤทธิ์ของสารไฟโตนิวเทรียนท์ในสารสกัดใบแปะก๊วย
สารสกัดจากใบแปะก๊วยเยียวยาปัญหาของระบบประสาท ที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์, การบาดเจ็บที่สมอง, โรคหลอดเลือดสมอง, ความชราภาพ, อาการบวมน้ำ, หูอื้อและจอประสาทตาเสื่อม กลไกการออกฤทธิ์ มาจากคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ neurotransmitter/ receptor modulatary และการต้านเกร็ดเลือด
ควรระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยที่รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด

วิตามินบีรวม
วิตามินบีรวม (B complex) ประกอบด้วย วิตามินบี 1 (ไธอะมีน), วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน), วิตามินบี 3 (ไนอะซิน), วิตามินบี 5 (แพนโทธีนิค แอซิด), วิตามินบี 6 (ไพริดอกซีน), วิตามินบี 7 (ไบโอติน), วิตามินบี 9 (กรดโฟลิก) และวิตามินบี 12 (ไซยาโนโคบาลามิน) ทำงานร่วมกันเป็นระบบโดยเฉพาะระบบประสาทและสมอง

การทำหน้าที่ของวิตามินบีรวม ครอบคลุมกว้างขวาง ตั้งแต่ระบบสร้างพลังงาน การสังเคราะห์และซ่อมแซม DNA/RNA การสร้าง methylation ที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับยีน การสังเคราะห์สารสื่อประสาทและโมเลกุลที่ทำหน้าที่ส่งสัณญาณ

การเสริมวิตามินบีรวม ช่วยด้านการทำงานของสมอง ดีกว่าการเสริมแยกเป็นแต่ละตัว

สมอง คือ อวัยวะที่สำคัญของคนเรา ควรดูแลสุขภาพสมองให้ดี ก่อนที่จะสายเกินไป เริ่มต้นดูแลตั้งแต่วันนี้ ยังไม่สายเกินไป

ขอบคุณ ข้อมูลอ้างอิง : Convenience Makes better life โดย รศ.ดร. วินัย ดะห์ลัน

คลิกลิงค์ ผลิตภัณฑ์สารอาหารดูแลสุขภาพสมอง และความจำ

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

4 ด่าน ป้องกันโควิด

ในยุคที่โควิดกะลังเบ่งบาน รุกรานไปทั่วโลก เหมือนโควิดกำลังบอกมวลมนุษย์ว่า "ฉันจับตาดูพวกแกอยู่นะ ถ้าไม่ดูแลตัวเองให้ดี แกเผลอเมื่อไหร่ล่ะ!! เสร็จฉันแน่ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า" งานนี้ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ไหนก็ช่วยไม่ได้ เราคงต้องช่วยตัวเอง และต้องสามัคคีร่วมด้วยช่วยกัน แล้วถามว่าจะทำยังไงล่ะ ก็ไม่ยากเริ่มที่ตัวเราเองเป็นสิ่งแรก ดูเหมือนยาก (เพราะคนเรามักไม่ค่อยอยากทำเอง ชอบบ่นบอกให้คนอื่นทำโน่น นี่ นั่น ซึ่งเหมือนง่าย แต่เป็นไปได้ยาก) ย้ำอีกครั้ง เริ่มที่ตัวเองนี่แหละ เป็นไปได้ ทำได้ทันที เอาละมาตั้งด่านป้องกันโควิดด้วยตัวเองกันดีกว่า

ด่านที่ 1 ทำตามมาตรการ D M H T T A

เป็นด่านแรกที่ป้องกันเรา ด่านนี้แหละสำคัญที่สุด เป็นการตัดไฟ ตั้งแต่ต้นลม เราตั้งด่านกันยังไง ก็ตั้งด่านโดยการทำ D M H T T A ที่เขาแนะนำกันมานั่นแหละ โดยเฉพาะ D M H สำคัญที่สุด ที่เราต้องทำอย่างมีวินัย ยิ่งวินัยในการทำสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งป้องกันโควิดไม่ให้มันเข้ามาทำร้ายเราได้ดีเท่านั้น

D = Distance = รักษาระยะห่าง ไม่ใช่ไม่รัก ไม่สนิท แต่ช่วงนี้ยืน นั่ง คุย ห่างกันนิด ลด ละ เว้น การสัมผัสโดยไม่จำเป็น เพราะเราไม่เห็นตัวโควิด และไม่รู้ว่ามันแฝงตัวมากับใครบ้าง หรืออาจจะอยู่กับเราแล้วก็ไม่รู้ รักกัน ปราถนาดีต่อกัน ก็รักษาระยะห่างไว้ดีที่สุด

M = Mask = สวมใส่หน้ากากอนามัย โควิดมันพุ่งลอยอยู่ในอากาศ และมากับละอองของเหลวขณะที่เราพูดคุยกันได้ ถึงแม้เราจะรักษาระยะห่างแล้วการสวมใส่แมสป้องกันอีกชั้นนึง ก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด ป้องกันเชื้อเข้ามาทางการหายใจของเรา ต้องหาหน้ากากอนามัยที่ดี และสวมใส่อย่างถูกต้อง

H = Hand = ล้างมือสม่ำเสมอ การล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอร์ ล้างด้วยสบู่ หรืออะไรก็ได้ที่ฆ่าโควิดได้ และทำอย่างสม่ำเสมอ เป็นการป้องกันโควิดจากการสัมผัส เช่น ลูกบิดประตู ปุ่มลิฟท์ หรือสิ่งที่เราอาจต้องใช้ร่วมกันกับคนอื่น หรือมีคนอื่นมาใช้และสัมผัสไว้

ข้อมูลบางส่วนจาก : กรมควบคุมโรค

ด่านที่ 2 ฉีดวัคซีน

หากโควิดยังสามารถผ่านด่านแรก (DMHTTA) ของเราเข้ามาได้อีก ที่นี้ล่ะ เอ็งต้องเจอกับด่านที่ 2 คือ วัคซีน วัคซีนจะเข้าไปสอนภูมิต้านทางของร่างกายของเราว่า โควิดมันหน้าตาแบบไหน ถ้าเอ็งเจอหน้าตาแบบนี้ จัดการได้เลย เป็นการอัปเดทข้อมูล เพราะโควิด คือ ไวรัสใหม่ที่ ภูมิต้านทานของเราไม่เคยเจอ ไม่รู้จักว่าหน้าตามาก่อน ง่ายๆ โควิด คือ คนแปลกหน้าที่เพิ่งปรากฏตัวให้เห็นบนโลกใบนี้ แล้วคุณโควิดนี่ ปลอมแปลงตัวเองเก่งมาก แถมยังหลบระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายคนได้เก่งอีก จะเห็นว่ามันมีการปลอมแปลงตัวเองเป็น

  1. สายพันธุ์อัลฟา (Alpha) พบที่แรกคือเมืองเคนต์ ประเทศอังกฤษ
  2. สายพันธุ์เบตา (Beta) พบที่แรกคือประเทศแอฟริกาใต้
  3. สายพันธุ์แกมมา (Gamma) พบที่แรกคือประเทศบราซิล
  4. สายพันธุ์เดลตา (Delta) พบที่แรกคือประเทศอินเดีย (พบในประเทศไทยตอนนี้ 70% กะลังฮิตแซงทุกสายพันธุ์)

นี่แค่ 4 สายพันธุ์ที่ฮิตติดกันมาก ต้องเฝ้าระวังจาก องค์การอนามัยโลก ในขณะนี้ ที่จริงมันมีทั้งหมด 15 สายพันธุ์ และเป็นเหตุผลว่าทำไมวัคซีนก็ต้องมีการพัฒนาอัปเดทประสิทธิภาพ เพื่อให้ทันและแซงการกลายพันธุ์ของโควิดให้ได้ โควิดก็ใหม่ วัคซีนก็ใหม่ เลยเป็นการเรียนรู้ใหม่ของเราทุกคนบนโลกใบนี้ การศึกครั้งนี้สุดท้ายแล้ว ผมเชื่อว่ายังไงมนุษย์ก็เป็นฝ่ายชนะ เหมือนที่เราเคยชนะสารพัดโรคระบาดในอดีต ด้วยการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนที่จะมีการคิดมาใหม่อีกในอนาคตอันใกล้ การสลับชนิดวัคซีน การกระตุ้นเข็ม 3 หรืออาจจะมีเข็ม 4 และ 5 ในอนาคต เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานให้สูงขึ้น เพื่อสู้กับคุณโควิดตัวดี ที่นับวันจะปลอมแปลงตัวเองไปเรื่อยๆ แล้ววันนึง คุณโควิดจะกลายเป็นอดีต เป็นเรื่องเล่าให้คนรุ่นหลังฟัง เหมือนที่ตอนนี้เราไม่ค่อยได้ยินชื่อ ฝีดาษ ไข้ทรพิษ กาฬโรค อหิวาตกโรค

ด่านที่ 3 เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย

คุณโควิดเจอ 2 ด่านแรกก็หนาวแล้ว แต่ก็ยังหลุดด่าน 2 ด่านนั่นเข้ามาได้อีกเช่นกัน บอกแล้วว่าเขาเก่งมากเรื่องหลบหลีก ปลอมแปลงตัวเองเข้าร่างกายของเรา ทีนี้มันก็ถึงตัวเราแล้วล่ะ เผชิญหน้ากันแบบ ซึ่งๆหน้า ถามว่าเพื่อการเอาชีวิตรอดเราจะสู้มั๊ย? สู้ดิครับ มีอาวุธอะไร ก็ประเคนใส่มันไม่ยั้ง สิ่งที่เราจะเอาไว้สู้คุณโควิดก็ระบบภูมิต้านทานของตัวเรานี่แหละ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แล้วเราจะตั้งด่านเพิ่มภูมิต้านทานอย่างไร? ไม่ยากครับ เอาหลักๆ เลย

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เราควรนอนหลับให้ได้วันละ 7-9 ชั่วโมง เพราะร่างกายจะซ่อมแซมร่างกายในขณะที่เรานอนหลับ ถ้าเรานอนน้อย นอนไม่พอ ร่างกายก็ซ่อมแซมได้ไม่ดี ไม่เสร็จ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของเราไม่ดี หรือลดลง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30-45 นาที 4-5 วันต่อสัปดาห์ เป็นการเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวสามารถจัดการเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น
  • กินอาหารที่มีประโยชน์ และสารอาหารต้านโรค กินให้ครบ 5 หมู่พื้นฐาน และเพิ่มเติมเสริมสารอาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เช่น วิตามินซี บี ดี จากอาหารก็ เช่น กระเทียม

ด่านที่ 4 หมอ พยาบาล

ถ้าคุณโควิดมันสามารถผ่าน 3 ด่านของเรามาได้ เรายังไม่แพ้นะ ตอนนี้ละ ด่านสุดท้ายถึงมือ หมอ พยาบาล คราวนี้โดนยาต้านไวรัส วัดกันไปเลย ถ้าเราดูแลตัวเองมาดี ก็จะช่วยให้การตอบสนองต่อยา ต่อการรักษาของหมอ พยาบาล ได้ผลดีไปด้วย ทำให้โอกาสหายจากโควิดของเราก็มีสูงมาก

ไม่ว่าสถานการณ์โควิดในขณะนี้จะเป็นอย่างไร สิ่งที่สำคัญ คือ เราต้องปรับตัว สามัคคี ช่วยเหลือตัวเอง และช่วยเหลือคนอื่น เราต้องเชื่อว่า เราจะรอดไปด้วยกัน ช่วงนี้คิดเสียว่า เป็นการฝึกสติ ความอดทน อดกลั้น วินัยในตัวเอง

“ไม่ใช่สายพันธุ์ ที่ฉลาดหรือแข็งแกร่ง ที่สุดที่อยู่รอด หากแต่เป็น การปรับตัว

ชาลส์ โรเบิร์ต ดาวินส์ (Charles Darwin) เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ

About Link : สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์ EP.1

About Link : สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์ EP.2

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์ EP.2

มาต่อกันใน EP. 2 เกี่ยวกับสารอาหารสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเรา พร้อมรับในทุกสถานการณ์ ใน EP. 1 เราได้รู้จักกันไป 3 สารอาหารด้วยกัน ส่วนใน EP. นี้ จัดไปอีก 3 สารอาหารด้วยกันครับ เริ่มกันเลยดีกว่า

ไฟโตนิวเทรียนท์

ไฟโตนิวเทรียนท์ ต้านอนุมูลอิสระ สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

กลุ่มสารอาหารไฟโตนิวเทรียนท์ที่ได้จากผักผลไม้ 5 สี มีผลดีต่อสุขภาพมากมาย อาทิ

  1. สีแดง ให้ไลโคปีน กรดเอลลาจิก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสุขภาพต่อมลูกหมาก สุขภาพดีเอ็นเอ เสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
  2. สีเหลือง/ส้ม ให้เบต้า-แคโรทีน เฮสเพอริดิน ช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ เสริมการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน เสริมสุขภาพดวงตา รักษาความชุ่มชื้นของผิว ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายอย่างสมบูรณ์แข็งแรง
  3. สีเขียว ให้อีจีซีจี ลูทีน/ซีแซนทิน ไอโซฟลาโวน ไอโซไธโอไซยาเนท ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสุขภาพของเซลล์ สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง สุขภาพปอด และส่งเสริมการทำงานของตับ
  4. สีม่วง/น้ำเงิน ให้แอนโธไซยานิน เรสเวอราทรอล ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยระบบความจำ ช่วยสุขภาพหัวใจ สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง
  5. สีขาว ให้อัลลิซิน เควอซิทิน ช่วยเสริมสุขภาพกระดูก เสริมสุขภาพการไหลเวียนโลหิต สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง

สรรพคุณของไฟโตนิวเทรียนท์

  1. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant)
  2. ช่วยป้องกันโรคติดต่อไม่เรื้อรังต่างๆ (NCDs)
  3. ช่วยต้านภาวะการอักเสบเรื้อรัง หรือมะเร็ง
  4. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  5. ช่วยลดความดันโลหิต และลดไขมันมันในเลือด
  6. ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมถึงต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
  7. ช่วยป้องกันสมองเสื่อม

กระเทียม

กระเทียม เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

สรรพคุณของกระเทียม

  1. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
  2. เป็นพืชที่มีซิลิเนียมสูงกว่าพืชชนิดอื่น ๆ เป็นแร่ธาตุท่ีร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย แต่มีความสำคัญในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ ตับ ไต ซีลีเนียม เป็นส่วนประกอบของโปรตีน เรียกว่า ซีลีโนโปรตีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ ช่วยปกป้องร่างกายจากโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  3. มีสารอะดิโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์ในร่างกาย
  4. ช่วยลดคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด
  5. ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  6. ช่วยในการขับลม
  7. ช่วยแก้อาการหอบ หืด
  8. ช่วยในการขับเหงื่อ
  9. ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้กระเทียม

  1. กระเทียมยิ่งสดเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสรรพคุณที่ดีมากขึ้นเท่านั้น
  2. วิตามินและแร่ธาตุที่อยู่ในกระเทียม จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับดินและสภาพอากาศที่ใช้เพาะปลูก
  3. สำหรับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีอาการเลือดหยุดไหลช้า รวมไปถึงผู้ใช้ยาอื่นๆเป็นประจำ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาต้านไวรัส ไม่ควรทานกระเทียมหรือผลิตภัณฑ์กระเทียมเสริมในปริมาณที่มากจนเกินไป

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เพิ่มความสามารถให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้

สรรพคุณของโคเอ็นไซม์ คิวเท็น

  1. ช่วยป้องกันความดันโลหิตสูง โคเอ็นไซม์ คิวเท็น 33.3 มก. สามารถช่วยลดความดันทั้งค่าบน และค่าล่างได้
  2. ช่วยป้องกันมะเร็ง โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยต่อต้านมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
  3. ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สูงขึ้น โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เพิ่มสาร Antibody ได้และเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรค
  4. ช่วยเกี่ยวกับโรคพาร์คินสัน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยลดความผิดปกติของไมโตคอนเดรียที่พบในโรคพาร์คินสันได้ ช่วยให้อาการโรคพาร์คินสันลดลง
    • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น 360 มก.ต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ช่วยลดความผิดปกติทางสายตาและอาการอื่นๆ ในคนที่เป็นโรคพาร์คินสันได้
    • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น 300-1,200 มก.ต่อวัน ป้องกันหรือลดอาการในผู้ป่วยพาร์คินสันให้ดีขึ้น
  5. โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยชะลอการพัฒนาของโรคอัลไซเมอร์ได้
  6. โคเอ็นไซม์ คิวเท็น กับสุขภาพของหัวใจ โดยหัวใจของเรานั้น เต้นเฉลี่ยถึง 100,000 ครั้งต่อวัน ทุกๆ วัน ตลอดชีวิต ไม่มีหยุดพักผ่อน ไม่ลาหยุดพักร้อน หัวใจจึงต้องการพลังงานที่คงที่ เพื่อให้เต้นได้อย่างสม่ำเสมอ
  7. หัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่ง ภาวะที่รุนแรงที่สุด หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” สามารถลดอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวได้ และยังมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์อเมริกา (American Journal of Therapeutics) ระบุว่า “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถเพิ่มการส่งเลือดออกจากหัวใจได้มากกว่า 15.7% และเพิ่มระยะเวลาในการออกกำลังกายได้มากขึ้น 25.4%
  8. โรคหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี สาเหตุหัวใจล้มเหลว และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของมนุษย์ เกิดจากการสะสมของไขมันโดยตรงบนผนังหลอดเลือด หรือภาวะหลอดเลือดแข็งตัว “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” ลดการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โดยจำกัดปริมาณไขมันที่จะไปสะสมบนผนังหลอดเลือด
  9. เสริมวิตามินอี ร่วมกับโคเอ็นไซม์ คิวเท็น เพิ่มการป้องกันภาวะหลอดเลือดอุดตันได้มากกว่าการได้รับเพียงอย่างเดียว
  10. โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถลดแผลบนผนังหลอดเลือดได้ และลดการขยายตัวของโรคหลอดเลือดอุดตัน
  11. โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ลดการเกิดออกซิเดชั่นของ LDL คอเลสเตอรอลตัวไม่ดี ลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในเลือด และเพิ่ม HDL คอเลสเตอรอลตัวดีได้
  12. อาการปวดเค้นหน้าอก  มีหลายรายงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ และในวารสารโรคหัวใจของอเมริกา (American Journal of Cardiology) ระบุว่า “ผู้ที่เคยรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถลดโอกาสการเกิดอาการปวดเค้นหน้าอกได้”
  13. เพิ่มขีดความสามารถ โดยทำให้เรา “ออกกำลังกายได้นานขึ้นด้วย”

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้โคเอ็นไซม์ คิวเท็น

  1. ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มีความต้องการเท่ากัน
  2. สำหรับคนที่มีสุขภาพดี ต้องการ 20-30 มิลลิกรัม ต่อวัน
  3. สำหรับคนที่มีสุขภาพไม่ดี ต้องการ 20-150 มิลลิกรัม ต่อวัน มากกว่าคนที่มีสุขภาพดี
  4. ควรกินร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เพราะละลายได้ดีในไขมัน ทำให้ดูดซึมไปใช้งานได้ดีขึ้น
  5. โคเอ็นไซม์ คิวเท็นนั้น มีความปลอดภัยสูง โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ที่รุนแรง จากงานวิจัย มีการบริโภคปริมาณสูงถึง 300-600 มิลลิกรัม ต่อวัน อาจจะมีแค่อาการคลื่นไส้ไม่สบายท้องเท่านั้นเอง

จะเห็นได้ว่าสารอาหารดี สารอาหารครบช่วยเราลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่าง โดยเฉพาะในยุคโควิด การสร้างภูมิต้านทานให้กับตัวเอง เป็นเหมือนเกราะคุ้มกันตัวเองด่านสุดท้ายที่ดีที่สุด

Cr. : ข้อมูลบางส่วนจาก เวปไซท์ นิวทริไลท์

About Link : สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์ EP.1

คลิกลิงค์ สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์ EP.1

          จากในสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันนี้ มันกำลังบอกว่า “อ่อนแอก็แพ้ไป” เหมือนโลกกะลังจัดระเบียบชีวิตของมนุษย์ใหม่ที่เราเรียกกันว่า New Normal แบบใช้มาตรการรุนแรงกันเลยทีเดียวเชียว พลันทำให้นึกถึงประโยคหนึ่งของชายคนนี้

ชาลส์ โรเบิร์ต ดาวินส์ (Charles Darwin) เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ทำการปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต และเสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และหลักการพื้นฐานของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เคยกล่าวไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วว่า…..

“ไม่ใช่สายพันธุ์ ที่ฉลาดหรือแข็งแกร่งที่สุดที่อยู่รอด หากแต่เป็นการปรับตัว

การปรับตัวใช่มั๊ย? ที่ทำให้เราอยู่รอดต่อไปได้ในโลกสวยงามใบนี้ต่อไป ดูดิ!!! ขนาดไวรัสมันยังกลายพันธุ์ ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของมัน มันถึงได้อยู่คู่โลกมาจนถึงปัจจุบัน แล้วนี่ถ้าเราไม่ปรับตัวหรือทำอะไรสักอย่าง เราคงต้องสูญพันธุ์เพราะพวกมันแน่ๆ แล้วเราจะปรับตัวยังไงถึงจะอยู่รอดได้ ในสถานการณ์ไวรัสระบาด เริ่มจากตัวเองง่ายที่สุด โดยการสร้างหรือเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ตัวเราเอง ด้วยสารอาหารเหล่านี้ นี่แหละที่เราทำได้ด้วยตัวเอง เริ่มจาก…

โปรตีน (PROTEIN)

โปรตีน สารสำคัญในการสร้างเซลล์ และสารต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน

สรรพคุณของโปรตีน

  1. ให้กรดอะมิโนจำเป็น ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น
  2. ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและโครงสร้างของร่างกาย รวมทั้งช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ที่สึกหรอ
  3. สร้างสารทำงานต่างๆ ในร่างกาย เช่น เอนไซม์และฮอร์โมนหลายชนิด รวมทั้งช่วยนำพาและขนส่งสารหลายชนิดในเลือด
  4. สร้างภูมิต้านทาน โดยสร้างสารแอนติบอดีทำหน้าที่จับและทำลายสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
  5. ดูแลสมดุลของเหลว โปรตีนในเลือดทำหน้าที่รักษาสมดุลออสโมติก (Osmotic Balance) ทั้งในเลือดและในเซลล์
  6. เนื่องจากเซลล์และสารคัดหลั่งต่าง ๆ ในระบบภูมิคุ้มกันเป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนที่ได้จากอาหารโปรตีนที่ร่างกายรับประทานเข้าไป
  7. ดูแลสมดุลกรด-ด่าง โปรตีนในเลือดช่วยควบคุมปริมาณอิออนไฮโดรเจน ทำให้ pH ในเลือดและในเซลล์อยู่ในสภาวะที่เป็นด่างอ่อน ซึ่งเหมาะสมต่อการทำงานของเอนไซม์ส่วนใหญ่ในร่างกาย
  8. สร้างกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในร่างกาย
  9. เป็นแหล่งพลังงาน ในบางภาวะที่ร่างกายขาดอาหารอย่างรุนแรง ร่างกายสามารถสลายโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโนอิสระเพื่อนำไปสร้างพลังงานให้แก่ร่างกายได้

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้โปรตีน

  1. ความต้องการโปรตีนใน 1 วัน ความต้องการโปรตีนของร่างกายสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ระดับ 1 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
    • หากเป็นหญิงมีครรภ์ หรือหญิงให้นมบุตร มีความต้องการพลังงานและโปรตีนเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนตั้งครรภ์
    • ในขณะที่ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควรได้รับโปรตีน 1.2-1.6 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
    • ส่วนผู้ที่ออกกำลังกายหรือนักกีฬาทั่วไปที่ต้องการพลังงานมากขึ้นแต่ไม่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ จะมีความต้องการโปรตีนเทียบเท่ากับคนปกติ
  2. ปริมาณที่สูงเกิน คือ การกินโปรตีนมากกว่า 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ต่อวัน ทั้งนี้ปริมาณการได้รับโปรตีนของแต่ละวัน สามารถปรับให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน

วิตามินซี (VITAMIN C)

วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ เช่น

สรรพคุณของวิตามินซี

  1. การป้องกันหวัด ต้องกินเป็นประจำทุกวัน หากเป็นหวัดแล้วจึงเริ่มกิน วิตามินซี จะไม่สามารถลดความรุนแรงหรือระยะเวลาในการเป็นหวัดได้
  2. สำหรับคนที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ถึง 50%
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการสร้างและเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว เพิ่มความสามารถในการต้านการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
  4. ช่วยสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมา เพื่อกำจัดเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อไวรัส ลดภาวะการติดเชื้อไวรัส
  5. ลดการหลั่งสารฮีสตามีน ทำให้ลดน้ำมูก อาการแพ้ บวมแดง และคัน
  6. ปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรัง และความผิดปกติต่างๆ มี 2 ปัจจัย คือ
    • ปัจจัยภายใน เช่น ความเครียด กระบวนการเผาผลาญอาหาร
    • ปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด อาหาร ฝุ่น ควัน บุหรี่ และแอลกอฮอล์
  7. สร้างคอลลาเจน ซึ่งจะลดลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ส่งผลให้ผิวเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง เกิดริ้วรอย
  8. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สร้างเม็ดสี เพื่อลดการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไป ช่วยลดรอยดำ ผิวหมองคล้ำ และช่วยให้ผิวขาว กระจ่างใส

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้วิตามินซี

  1. แหล่งวิตามินซี คือ ผักผลไม้ อย่างผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว เบอรี่ชนิดต่างๆ เป็นต้น จากผักบางชนิด เช่น พริกหวาน บร็อคโคลี มะเขือเทศ เป็นต้น
  2. โดยความต้องการต่อวันของวิตามินซี ตามข้อกำหนดปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563
    • ในเด็กอายุ 1-8 ปี ควรได้รับ 25-40 มิลลิกรัมต่อวัน
    • ในเด็กและวัยรุ่นช่วงอายุ 9-18 ปี ควรได้รับ 60-100 มิลลิกรัมต่อวัน
    • วัยผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 85-100 มิลลิกรัมต่อวัน
  3. วิตามินซีเสริมจากแหล่งอาหารปกติ เราควรเสริมแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 500 มิลลิกรัม เพราะการที่เรากินวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัมภายในครั้งเดียว ร่างกายจะดูดซึมได้ประมาณ 43.5% และขับออกทางปัสสาวะอีก 25% เหลือร่างกายนำไปใช้ได้ประมาณ 25% เท่านั้น และไม่ควรรับประทานมากกว่า 3,000 มิลลิกรัม เพราะจะทำให้ปวดท้อง มวนท้อง และท้องเสียได้
  4. คุณอาจเคยได้ยินหรือเคยเห็นฉลากหรือเอกสารกำกับยาที่ระบุว่า “Extended Release, Controlled Release, Sustained Release, Modified Release, Slow Release Technology” ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ “การออกฤทธิ์” ของยาด้วยการควบคุมให้แตกตัวและดูดซึมในอวัยวะเป้าหมาย หรือค่อยๆ “ปลดปล่อย” ตัวยาออกมาในปริมาณที่สม่ำเสมอเป็นเวลานาน 4 หรือ 8 ชั่วโมง ปัจจุบันยาที่ผสมผสานนวัตกรรมนี้ ได้แก่ ยาระงับปวดชนิด Tramadol ยากันชัก และวิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นาน ที่ตอบโจทย์ผู้ที่ขาดวิตามินซีได้เป็นอย่างดีประโยชน์เด่นๆ ของวิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นานก็คือ
    • ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
    • ช่วยลดปัญหาการระคายเคืองกระเพาะอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร
    • ลดความถี่ในการรับประทานลง ทำให้สะดวกมากขึ้น เช่น รับประทานเพียงวันละ 1-2 ครั้ง
  5. ควรรับประทานวิตามินซีในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควบคู่ไปกับการรับประทานผักและผลไม้ปกติ ซึ่งให้วิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์ ที่ร่างกายต้องการ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพโดยรวมที่ดีนั่นเอง

รู้หรือไม่ การสูบบุหรี่หนึ่งมวนจะผลาญวิตามินซีในปริมาณเท่ากับส้มเขียวหวาน (20-30 มิลลิกรัม) ราว 1 ผล!

ข้อมูลอ้างอิง :

  1. มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  2. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
  3. นิตยสารวาไรตี้เพื่อสุขภาพ @Rama
  4. กรมอนามัย http://www.anamai.moph.go.th

วิตามินบี (VITAMIN B)

วิตามินบี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย ลดความเครียด และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

สรรพคุณของวิตามินบีี

  1. วิตามินบีจำเป็นต่อระบบการไหลเวียน จะมีโปรตีนแอนตีบอดี้ ทำหน้าที่ตรวจจับ และกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกาย กระบวนการสร้างโปรตีนแอนติบอดี้ จำเป็นต้องใช้วิตามินบีร่วมด้วยเสมอ
  2. งานวิจัยพบว่า วิตามินบี 5 และ บี 6 มีส่วนสำคัญต่อจำนวนเซลล์ ที่ทำหน้าที่สร้างโปรตีนแอนติบอดี้ในร่างกาย
  3. วิตามินบีรวมเป็นโคเอนไซม์ร่วม ในการสร้างระบบภูมิต้านทาน ซึ่งจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ต้องอยู่บนพื้นฐานการทำงานของเซลล์ที่สมบูรณ์ ระบบชีวเคมีพื้นฐานในเซลล์ ต้องการวิตามินบีรวมเป็นโคเอนไซม์ร่วมด้วย
  4. วิตามินบี 9 และบี 12 มีผลต่อการสร้างกรดนิวคลิอิค (จำเป็นต่อการแบ่งเซลล์) ในเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเซลล์ด่านหน้า ระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยต่อต้านเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่างๆ

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้วิตามินบี

  1. เทคโนโลยีการปลดปล่อยวิตามินบีแบบทันที (Instant Release) และแบบออกฤทธิ์นาน (Extended Release) ช่วยให้ร่างกายดูดซึม และรักษาระดับวิตามินบีรวมได้ดีขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องกินวิตามินขนาดสูงๆ
  2. การบริโภควิตามินบีมากเกินความจำเป็นก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาเจียน ผื่นขึ้น เวียนศีรษะ หรือตับอักเสบ เป็นต้น ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัย
  3. ผลข้างเคียงของการใช้วิตามินบีรวมที่พบได้ทั่วไป คือ ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มและสว่างขึ้น ซึ่งเกิดจากการขับวิตามินส่วนเกินออกของร่างกาย แต่ไม่ใช่ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

ข้อมูลอ้างอิง : เอกสารการฝึกอบรม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามินบี ของนิวทริไลท์

ยังไม่หมดนะครับสำหรับสารอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน ติดตามได้ต่อใน EP.2

คลิกลิงค์ สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

กินนิด กินหน่อยก็อ้วน ยิ่งลดน้ำหนัก ยิ่งอ้วนมากกว่าเดิม เพราะ…….อารายแว้!!!

ปัญหาเหล่านี้ กินนิด กินหน่อยก็อ้วน ยิ่งลด ยิ่งอ้วนมากว่าเดิม เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ เรามาดูกันว่ามันเพราะอารายแว้!!! ข้อมูลความรู้ทำให้เรา สามารถที่จะพิจารณาไคร่ครวญได้ ไม่ต้องมานั่งคิดเอง เออเอง ซึ่งทำให้ผิดเพี้ยนไปได้

 

เคยสังเกตุกันมั๊ยครับว่า คนไทยที่เดินมาทุกๆ 3 คนจะมีคนอ้วน 1 คน คุณคือ 1 ใน 3 ที่อ้วนหรือ 2 ใน 3 ที่ไม่อ้วนหรือเปล่า บางคนอาจจะเถียง อ้วนแล้วไง? ก็ไม่ไงหรอกครับ แค่จะบอกว่า ถ้าคุณเป็น 1 ใน 3 ที่อ้วน ขอแสดงความยินดีว่า คุณมีโอกาสได้เป็นโรคดังต่อไปนี้ ดีใจมั๊ยครับ!!! ลองมองดูคนใกล้ตัว รอบๆ ตัวเราดูว่ามีบ้างหรือเปล่าที่อ้วนแล้ว เป็นโรคตามด้านล่างเหล่านี้ ผมคนนึงล่ะที่มี เอาคนที่ใกล้ชิดผมที่สุดก็แล้วกัน ก็พ่อของผมเองครับ เริ่มจากอ้วนลงพุง แล้วก็เบาหวาน ตามมาด้วยเส้นเลือดหัวใจตีบ สุดท้ายพ่อผมก็เสียชีวิตจากโรคเหล่านี้ นั่นคือเหตุผลข้อนึงว่า ต่อมามันทำให้ผมเริ่มหันมาสนใจ เรียนรู้ เรื่องสุขภาพ การลดน้ำหนัก และลงมือทำด้วยตัวเองครับ

1. ไขมันในเลือดสูง
2. ความดันเลือดสูง
3. ว่าที่เบาหวาน
4. เบาหวาน
5. อัมพาต อัมพฤกษ์
6. โรคหัวใจ

 


อ้าวเหรอ! หลายคนเสียงเริ่มอ่อน แล้วมันอ้วนมาจากอะไร ? ผมว่าหลายคนก็รู้ตัวดีครับ แต่บางคนก็มองไม่เห็นเพราะมันเป็นวิถีชีวิตในทุกๆวันของเรา มันฝังอยู่ในตัวเราจนเราละเลยมองไม่เห็น ผมจะบอกว่าปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วนในปัจจุบันมาจากวิถีชีวิตเหล่านี้ครับ

1. วิถีชีวิตไม่กระฉับกระเฉง เนือย นิ่ง
2. พฤกติกรรมที่ไม่ดี เช่น นอนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลัง ปาร์ตี้บ่อย
3. อาหารที่รับประทาน คุณภาพต่ำ
4. สัดส่วนในการบริโภคอาหารไม่เหมาะสมมากเกินไป
5. รายได้ต่ำ ทำให้ซื้อได้แค่อาหารคุณภาพต่ำ ราคาถูก เช่น พวกแป้ง
6. ราคาอาหารที่ทำให้อ้วนมักจะราคาถูก
7. อาหารโภชนาการต่ำ สารอาหารไม่ครบ ไม่ได้สัดส่วน

 


เหรอ เหรอ เหรอ !!! แล้วมันจะลดน้ำหนักให้กลับไปหุ่นสเลนเดอร์ สุขภาพดี เหมือนตอนวัยเอาะ เอาะ ได้ยังไงบอกหน่อยดิ ? บอกเลยว่าต้องเข้าใจสิ่งนี้ก่อน จำไว้นะครับ

1. กิน เท่ากับ ใช้ (น้ำหนัก เท่าเดิม)
2. กิน มากกว่า ใช้ (น้ำหนัก เพิ่มขึ้น)
3. กิน น้อยกว่า ใช้ (น้ำหนัก ลดลง)
อยากผอมก็ต้องข้อ…… (เฉลย ข้อ 3)

ตัวอย่างง่ายๆ เลยนะครับ หากเราลดแคลอรี่ได้จากที่เคยกินวันละ 500 แคลอรี่ ครบ 7 วันเท่ากับ 3,500 แคลอรี่ น้ำหนักของเราจะลดไป 0.5 กิโลกรัม ทำไปจนครบ 1 เดือน เราจะลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 2 กิโลกรัม เห็นมั๊ยว่ามันง่ายนิดเดียว แต่ทำมั๊ย! ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ต้องเลือกเอง ทำเอง ไม่มีใครทำแทนเราได้ หากตัดสินใจที่จะลดน้ำหนักก็ต้องรู้วิธีการลดที่ถูกต้อง ปลอดภัย ด้วยครับ

 

อืม เข้าใจล่ะ!! แต่ว่าเคยเห็นวิธีการลดน้ำหนักมีเยอะแยะมากมาย ไม่รู้ว่าแต่ละวิธีดี ไม่ดี แตกต่างกันยังไง ? วานบอก ได้ครับผม ตั้งใจอ่านนะ ผมจะแบ่งเป็นกลุ่มๆ เริ่ม….ละนะ !!!!!

1. อดอาหาร ยาลด นน. กาแฟลด นน. ก็เป็นการลดปริมาณอาหารที่กินให้น้อยลง แคลอรี่ก็น้อย ทำให้ได้สารอาหารไม่ครบ ส่งผลให้ระบบเผาผลาญบกพร่อง น้ำหนักลดลง แต่พอออกคอร์สหรือหยุดกิน ก็จะกลับมาอ้วนใหม่หรือเรียกว่า โยโย่!!! คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดัน เป็นต้น อาจอันตรายถึงตายได้
2. คุมแคลอรี่ด้วยการควบคุมอาหาร คือกินน้อยมาก อดอาหาร มื้อเย็นงดอดไม่กิน ผลก็เหมือนกับข้อแรก เพราะวิธีนี้ทำให้ระบบเผาผลาญบกพร่อง แล้วถ้าทำหลายครั้ง ผลจะกลับมาอ้วนมากกว่าเดิม กินนิดหน่อยก็ยังไม่ผอม อันตรายครับ
3. ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารและตัวช่วย วิธีนี้ก็เป็นการควบคุมปริมาณอาหารกับแคลอรี่เหมือนกัน แต่ผลิตภัณฑ์พวกนี้จะมีสารอาหารครบในแต่ละมื้อที่ร่างกายต้องการ ทำให้ได้สารอาหารครบถ้วน พอเพียง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญของเราทำงานได้สมบูรณ์ น้ำหนักเลยลดลงแบบไม่โทรม ไม่เสียสุขภาพ พอออกคอร์ส อาการโยโย่ ก็จะไม่มีเป็นการลดแบบให้ผลรวดเร็ว ปลอดภัย แต่ก็แลกมาด้วยเงินที่ต้องซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาช่วยในการลดน้ำหนัก

จากประสบการณ์ที่ผมลดน้ำหนักได้สำเร็จ ก็จากข้อ 3 ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร และตัวช่วย ผมลดไป 8 กิโลกรัม ก่อนหน้านั้นผมก็เคยใช้วิธีตามข้อ 2 คุมอาหารเอง มันก็ลดได้ แต่พอลดได้แค่ 3 กิโลกรัม มันก็หยุดนิ่งเลย ทำยังไงก็ไม่ลงอีกเลย จนท้อใจ เลิก กลับไปกินเหมือนเดิมดีกว่า ประชดชีวิตไปเลย จนน้ำหนักพุ่งขึ้น จนทนตัวเองไม่ไหว ก็มาโอเคกับแนวทางผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารนี่แหละครับ ตอนนี้สบายตัว มั่นใจในตัวเองมากขึ้น

สุดท้ายจากประสบการณ์และข้อมูล หวังว่าทุกท่านที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวคงจะสามารถเลือกได้นะครับว่า วิธีไหนดีต่อตัวเรา ไม่มีใครรู้ตัวเราได้ดี เท่ากับตัวเราเองครับ ผมมีคำถาม 2 ข้อที่จะถาม ลองตอบในใจดูครับว่า จะเลือกข้อไหน
1. จ่ายเงิน หมื่นกว่าบาท เพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดี หรือ
2. จ่ายเงิน หมื่นกว่าบาท เพื่อรักษาโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน หลอดเลือด
ก็อยู่ที่เราเลือก ฝากคำนี้ไว้ครับ คุณเป็นอย่างที่คุณกิน (You are what you eat)

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ทำไมกินอาหารไขมันต่ำแล้วน้ำหนักไม่ลด

ฮันแน่! เคยสงสัยมั๊ยครับว่า “ทำไมแม้เราจะกินอาหารที่ไขมันต่ำ แต่น้ำหนักของเราไม่ลดเสียที” มันก็มีหลายเหตุ หลายผล มาว่ากันเป็นข้อๆ กันเลยดีกว่า

  1. การที่เราเลือกกินอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ว่าน้ำหนักของเราไม่ยอมลดนั่นก็เป็นเพราะว่า อาหารที่มีไขมันต่ำ จะย่อยง่ายกว่าอาหารที่มีไขมันสูง เมื่อย่อยเร็ว เราก็หิวเร็ว ทำให้เรากินมากขึ้น เยอะขึ้น
  2. อาหารไขมันต่ำบางอย่างก็ใช่ว่าจะมีแคลอรี่ต่ำเสมอไป เพราะอาหารไขมันต่ำหลายอย่าง มีน้ำตาลสูง เช่น โยเกิร์ต รสต่างๆ
  3. ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันต่ำส่วนใหญ่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านกระบวนการมากมายและมีแคลอรี่สูงมาก โดยที่ถูกแล้วผลการลดน้ำหนักจะชี้วัดจากแคลอรี่ทั้งหมด ไม่ใช่แคลอรี่จากไขมันอย่างเดียว และที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือ ร่างกายที่ได้รับอาหารไขมันต่ำมานาน จะมีประสิทธิภาพในการสร้างไขมันขึ้นมาเองทำให้กระบวนการเผาผลาญเกิดช้าลง จึงทำให้การอดอาหารจะได้ผลเพียงช่วงแรกเท่านั้น และน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นหลังจากการอดอาหารอย่างแน่นอน
  4. การกินที่เอาแต่กินของแคลอรีต่ำ หรือไม่มีแคลอรี เช่น บุก, วุ้น หรือเครื่องดื่มแคลอรี 0% ไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์, คาร์โบไฮเดรต หรืออาหารที่มีน้ำมัน เป็นการกินที่ไม่ถูกต้องครับ เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ระบบการย่อย การดูดซึม และการเผาผลาญแย่ลง และพอร่างกายไม่ได้รับพลังงาน จึงไม่มีการเผาผลาญทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิต่ำลง ทำให้ร่างกายสะสมไขมันไว้ได้ง่ายขึ้น และทำให้เผาผลาญออกได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
  5. การกินอาหารที่มีแคลอรีต่ำ หรือ 0% ในการลดน้ำหนักนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ถ้ากินแต่ของเหล่านี้อย่างเดียว ร่างกายก็อาจจะขาดสารอาหารได้ครับ เรากินให้ได้สารอาหารครบถ้วนดีกว่า ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า

รู้กันแล้วใช่มั๊ยครับว่า ทำไมถึงกินอาหารไขมันต่ำแล้วน้ำหนักก็ยังไม่ลด การลดน้ำหนักไม่ยากและซับซ้อนเลย แต่สิ่งที่ยากคือ วินัยในการทำตามโปรแกรมลดน้ำหนัก และความรู้ที่ถูกต้องในการลดน้ำหนักครับ

ลิงค์แนะนำ ลดน้ำหนักด้วย บอดี้คีย์ (BodyKey) จนได้น้ำหนักที่ต้องการ ได้อย่างไร

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

อยากผอมต้องกำจัด 4 อารมณ์นี้ทิ้งไปซะ

เคยได้ยินประโยคที่ว่า “เหตุผลทำให้คนคิด แต่อารมณ์ทำให้คนกระทำ” มั๊ยครับ ? นั่นผมกะลังจะบอกว่า คนเราโดนขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ คนเราอ้วน น้ำหนักเกินก็เพราะอารมณ์ล้วนๆ หลายคนอาจจะแย้งว่าไม่จริง มันมีเหตุผลของมันที่เราอ้วน ถูกครับ ไม่ผิด แต่ตัวขับเคลื่อนที่ทำให้เราอ้วน คือ อารมณ์ล้วนๆ เหตุผลตามมาทีหลังตลอด เคยเป็นกันมั๊ยครับ ผมจะบอกว่าอารมณ์ที่ทำให้เราอ้วน น้ำหนักเพิ่มขึ้นมีอยู่ 4 อารมณ์ที่พึงระวัง ซึ่งเรียกว่า HALT ซึ่งแปลว่า “หยุด” และเป็นคำย่อตามอักษร 4 ตัวนี้แทนอารมณ์ที่ต้องจัดการอย่าให้เกิดขึ้น หรือหยุดมันซะ แล้วจะน่ารัก หุ่นดีมีเอวเอส

 

H = Hungry = หิว

เป็นกันบ่อยมั๊ยครับ อารมณ์หิว อันนี้ต้องมาแยกแยะกันก่อนนะว่า ที่หิวน่ะ หิวจริงหรือเห็นอาหาร เห็นร้านแล้วอยากกิน คนเราพอหิวมักจะลืมตัว อารมณ์หิวขึ้นหน้า เหมือนก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ก็เพราะอารมณ์หิวล้วนๆ เมื่อปล่อยให้มีอารมณ์หิว เรามักจะสั่งอาหารมากกว่าปกติ กินมากกว่าปกติ มาได้สติตอนกินไปหมดแล้ว สุดท้าย สำนึกผิด ไม่น่าเลยเรา แต่ว่ามันสายไปแล้ว อย่างแรกมาแยกแยะก่อนว่าหิวจริง หรือว่าอยาก (อารมณ์)

หิวจริงจากความต้องการของร่างกาย

จะเกิดจากความต้องการของร่างกายในขณะที่ร่างกายมีพลังงานและน้ำตาลลดต่ำลง มักเกิดขึ้นจากการที่เรากินอาหารไปแล้วอย่างน้อย 6 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้นในคนที่ระบบเผาผลาญเร็วแค่ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น สมองจะหลั่งฮอร์โมนหิวออกมา ซึ่งนอกจากรู้สึกหิวแล้วร่างกายจะส่งสัญญาณให้เรารู้ได้แก่  อ่อนเพลีย มือไม้สั่น ท้องร้อง หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม แบบนี้คือ หิวจริง

หิวที่เกิดจากอารมณ์ ความอยาก

ความอยากมักเกิดเมื่อมีสิ่งมาเร้า รูป กลิ่น ภาพ สัมผัส เช่น การได้กลิ่นอาหาร เห็นอาหาร เห็นคลิปคนกินอาหาร โฆษณาอาหาร ฯลฯ ปัจจุบันสิ่งเร้ามาถึงมือเราผ่านสมาร์ทโฟนที่มีกันทุกคน แถมสั่งให้มาส่งได้ด้วย สะดวกสบายต่อการที่เราจะอ้วนสุดๆ ความหิวที่เกิดจากความอยากทั้งๆที่ไม่ได้หิวจริงๆ ทำให้เรากินอาหารมาก น้ำหนักก็เพิ่มขึ้น อ้วนในที่สุด การกินจุบจิบจนเป็นนิสัย ความรู้สึกว่าจะต้องล้างปากด้วยของหวานหลังอาหารคาว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความหิวที่เกิดจากอารมณ์ทั้งสิ้น ถ้าหากเราประเมินดีแล้วว่าความหิวนั้นคือความหิวจริงๆ ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ความอยากก็ควรหาอาหารที่ดีมีประโยชน์กับร่างกาย มาโดยการกินช้าๆ และเพลิดเพลินกับอาหารทุกคำ

วิธีแก้อารมณ์หิว

  • นั่งคิดพิจารณานิดนึงถึงความรู้สึกที่เป็นอยู่ แล้วเริ่มที่การดื่มน้ำเปล่าเย็นๆ แก้วใหญ่ๆ ซักแก้ว และเบี่ยงเบนความสนใจไปทำอย่างอื่น
  • หลีกเลี่ยง หลบ หลีก สิ่งเร้าทั้ง รูป กลิ่น ภาพ สัมผัส ของอาหาร

 

A = Angry = โกรธ หงุดหงิด อารมณ์เสีย เครียด

คนเรามีเรื่องให้โกรธ หงุดหงิด เหวี่ยงวีนได้ตลอดเวลา ยิ่งสมัยนี้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ มีมีมากมายและเข้ามาหาเราได้เร็วแค่ปลายนิ้วกด จะด่าใครสักคนไม่ต้องไปพบ ไปเจอ แค่กดพิมพ์ กดส่ง ก็ด่าได้แล้ว 55555 และก็โดนด่ากลับมาเร็วเหมือนกัน แล้วถ้ากดพิมพ์ด่าไม่ทันก็กดโทรเป็นเสียงไปด่าเลยดีกว่า สะใจ แล้วยังไง สุดท้ายอารมณ์เสีย เครียด หงุดหงิด

เมื่อคนเราโกรธร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลีนออกมา สารอะดรีนาลีนจะไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และเมื่อสารอะดรีนาลีนลดลง เราก็จะรู้สึกเหนื่อยล้าและต้องการที่จะหาอะไรมาเติมเต็ม และเรายังอยู่ในอารมณ์ที่โกรธ หงุดหงิดอยู่ เลยทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด เพราะเราควบคุมตัวเองไม่ได้ ส่งผลให้เราเลือกกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพหรือรับประทานอาหารมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้น้ำหนักของเราเพิ่มขึ้น

เมื่อเรามีอารมณ์โกรธ เครียด หงุดหงิด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ซึ่งมันจะทำการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดของเราให้กลายเป็นไขมัน และยังส่งผลให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เราอ้วนขึ้น แถมยังทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตามมาด้วย

วิธีแก้อารมณ์โกรธ

  • การไม่กินอาหารตอนที่กำลังโกรธ เครียด และจดบันทึกเมนูอาหารที่รับประทานทุกครั้ง เพื่อเตือนสติของเรา
  • ออกกำลังกาย ซึ่งจะทำให้เราผ่อนคลาย มีสมาธิ และรูปร่างดีขึ้นกว่าเดิม
  • อ่านหนังสือ ออกไปท่องเที่ยวกับเพื่อน หรือการทำสิ่งต่างๆ ที่เราชื่นชอบ ทำให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้นนั่นเอง

L = Lonely = เหงา เบื่อ ต้องการความรัก

อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่เสมือนอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางฝูงชน แบบนี้เรียกว่า เหงานะ ตามธรรมชาติของมนุษย์ต้องการสังคม และเมื่อถูกตัดขาดจากสังคม จากเพื่อนฝูง จากคนรัก หรือต้องอยู่คนเดียวก็จะทำให้เรารู้สึกหิวมากขึ้นจนทำให้เกิดการกินอาหารมากขึ้น เพราะจะมีการหลั่งฮอร์โมนความหิวมากขึ้นกว่าคนปกติ และมีแนวโน้มที่จะหยุดหรือลดการออกกำลังกาย จนนำมาสู่ภาวะอ้วนในที่สุด หลายคนก็ชอบกินแก้เหงา เพราะแก้ได้ทั้งเหงาใจและเหงาปาก พอเหงาขึ้นมาไม่รู้จะทำอะไร หมุนไปหมุนมาก็เปิดตู้เย็น เดินไปเดินมาก็เลยเลี้ยวเข้าครัว หรือบางคนก็ชอบแก้เหงาด้วยการทำขนมหรือทำกับข้าว เหตุนี้หลายคนจึงอ้วนเพราะความเหงาเป็นเหตุ

วิธีแก้อารมณ์เหงา

  • ควรสังเกตอารมณ์ตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองเกิดความเหงา และออกไปทำกิจกรรมกับเพื่อนฝูงบ้าง อย่าเก็บตัวหมกมุ่นอยู่คนเดียว
  • ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอด้วย เช่น วิ่ง ฟิตเนส โยคะ การออกกำลังกายทำให้สารเอนโดรฟินหลั่ง คุณจะรู้สึกมีความสุข รูปร่างดี แข็งแรงด้วย

T = Tired = เหนื่อย ง่วง อ่อนเพลีย ท้อ

ถ้าเราปล่อยให้มีอารมณ์เหนื่อย ง่วง อ่อนเพลีย ท้อ เกิดขึ้นกับตัวเรา จะก่ออันตรายต่อน้ำหนักตัวของเรา ซึ่งอารมณ์เหล่านี้จะทำให้เราอยากกินอาหารมากขึ้น ทั้งๆที่เราไม่ได้หิวจริงๆ เหนื่อยก็กิน ง่วงนอนก็กิน อ่อนเพลียยิ่งกินใหญ่เลย อารมณ์ข้อนี้อาจจะส่งผลมาจากฮอร์โมนเหล่านี้ คือ 

ฮอร์โมนอินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ฮอร์โมนตัวนี้ มีความเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ความไม่สมดุลของอินซูลินมีผลต่อการมีน้ำหนักตัว ความง่วง การนอนไม่หลับ ความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ ความวิงเวียนศีรษะ และ ความไม่แจ่มใสของสมอง

ฮอร์โมนเกรลิน เรียกอีกอย่างว่า ฮอร์โมนความหิว ซึ่งมันจะหลั่งออกมาเมื่อเราอดหลับอดนอน และเป็นเหตุให้ร่างกายของเราเก็บสะสมไขมัน เกิดความหิวกระหาย ทั้งๆ ที่เราก็รับประทานอาหารอิ่มแล้ว

ฮอร์โมนเลปติน หากเราอดหลับอดนอนจะทำฮอร์โมนเลปตินนี้ไม่สมดุล ร่างกายก็จะควบคุมความอิ่มไม่ได้ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที

วิธีแก้อารมณ์เหนื่อย

  • การนอนให้เพียงพอเป็นเรื่องที่หลายคนมักมองข้าม ซึ่งการนอนให้ได้ 7 – 9 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้ความเสี่ยงในการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นลดลง หากอยากรูปร่างดี เพรียวระหงแล้วล่ะก็ ให้งดการเที่ยวกลางคืน งดการเล่นมือถือก่อนนอนเพื่อจะได้นอนเร็วขึ้น การพักผ่อนนอนหลับที่ดียังช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ หลังการรับประทานอาหาร เมื่อเทียบกับคนที่นอนไม่หลับ ที่สำคัญฮอร์โมนไม่แกว่ง น้ำหนักก็ไม่แกว่งเช่นกัน
  • การนอนหลับในห้องที่มืดสนิท ไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามา จะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ที่ทำให้การนอนหลับมีคุณภาพดี แถมยังช่วยขจัดไขมันสีน้ำตาล ที่มีผลต่อการเผาผลาญแคลอรี่ส่วนเกินได้อีกด้วย

อยากหุ่นดี น้ำหนักเหมาะสม สุขภาพดี เราต้องพยายามหยุดอารมณ์ HALT ออกไปให้ได้มากที่สุด ก็ลองนำไปปฏิบัติดูนะครับ การที่จะได้ผลลัพธ์อย่างที่เราต้องการ คือ การที่เราต้องพยายามทำซ้ำๆ ทำซ้ำๆ แล้วมันจะกลายเป็นนิสัยที่ดีของเรา ไม่ตกอยู่ในอารมณ์ 4 อย่างนี้ รูปร่างที่ดีก็จะคงอยู่กับเราตลอดไปครับผม

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866