บอดี้ดีด้วยคีย์ของการลดและควบคุมน้ำหนัก

ปัญหาน้ำหนักส่วนเกิน รูปร่างไม่ดี หุ่นไม่สวย น่าจะเป็นปัญหาระดับชาติของผู้หญิง ผู้ชาย ในยุคนี้ ยุคของการอยู่ดีกินดี หาของกินอร่อยได้ง่าย แค่กดสั่งผ่านมือถือ ทุกสิ่งที่อยากกินก็มาส่งถึงหน้าบ้าน ผล คือ น้ำหนักพุ่ง หุ่นพัง ถ่ายรูปไม่สวย แถมซ้ำร้าย โรคร้ายอาจถามหา อย่างเช่น เสี่ยงเบาหวาน ไขมันพอกตับ พุง ข้ออักเสบ โรคเส้นเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ มะเร็ง มาเป็นหมู่คณะทีเดียวเชียว

ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคอ้วน ลงพุง หุ่นพัง ถึง 20.8 ล้านคน เป็นผู้ชาย 6.8 ล้านคน ที่เหลือเป็นผู้หญิงมากถึง 14 ล้านคน ผู้หญิงอ้วนมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า ขอตกใจแป๊บ!! เพราะว่าโดยธรรมชาติ ผู้หญิงมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย ซึ่งมวลกล้ามเนื้อเป็นตัวเผาผลาญพลังงานนั่นเอง ในชาติอาเซียน ไทยอันดับ 2 รองจากแค่มาเลเซียเท่านั้นเอง น่าดีใจมั๊ย! เนี่ย!!!

สาเหตุก็เกิดจากการใช้ชีวิตของเรานี่แหละ ไม่มีอะไรซับซ้อน ทั้งเรื่อง การกิน การนอน กิจกรรมในชีวิตประจำวัน ในทุกๆวัน สะสมจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จนน้ำหนัก รูปร่างของเราเปลี๊ยนไป๋!!! เติบโตในแนวขยาย และปริมาตรเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น

ไอ้ตอนจะลดนี่ อยากลดวันนี้ พรุ่งนี้ผอมเลย อิอิ!!! มันเป็นไปม่ายล่าย ยังไงก็ต้องใช้เวลา หลายคนที่ลดน้ำหนักไม่ได้ ก็เพราะการลดน้ำหนัก มันเป็นการที่เราต้องชนะใจตัวเอง ซึ่งชนะยากที่สุด คือ ตัวเองนี่เอง แต่ก็จะบอกว่า จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย

วิธีแก้ ให้บอดี้ดีเหมือนเดิม ด้วยหลักการต่อไปนี้

  1. ลดแคลอรี่ที่กินต่อวัน 300-500 กิโลแคลอรี่ หรืออาจจะร่วมกับอุปกรณ์ติดตามน้ำหนัก
  2. เพิ่มการเผาผลาญ เช่น เคลื่อนไหวร่างกายไม่น้อยกว่า 10,000 ก้าวต่อวัน
  3. เทคนิคลดน้ำหนักอย่างสุขภาพดี อย่างรู้จักการควบคุมปริมาณอาหาร เคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ฉลาดในการเลือกอาหารที่ดี และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีความรู้

คีย์สำคัญ คือการควบคุมแคลอรี่ในการกินแต่ละวัน พูดเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริง ไม่ง่ายที่จะทำโดยการควบคุมแคลอรี่ต่ำ โดยที่ยังได้สารอาหารครบถ้วน เพียงพอ แต่ในปัจจุบันมีตัวช่วยที่ง่ายกว่า อย่างตัวผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร โดยถ้าเราจะเลือกก็มีเกณฑ์การเลือกตามนี้

  1. ให้พลังงานแค่ 200-400 กิโลแคลอรี่ ต่อมื้อ
  2. มีปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน วิตามินและเกลือแร่ ในปริมาณที่เหมาะเสม
  3. มีสารอาหารที่ช่วยในการทำงานของทุกระบบของร่างกาย
  4. มีใยอาหาร เพิ่มกากใย กระตุ้นการขับถ่าย ปรับสมดุลทางเดินอาหาร
  5. กิน พกพาสะดวก

อย่างที่บอก คีย์ ของการลดและควบคุมน้ำหนัก คือการควบคุมแคลอรี่ เพราะ 7,000 กิโลแคลอรี่ เท่ากับน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ถ้าเรากินเกิน เหลือสะสมวันละ 500 ใน 1 สัปดาห์ เท่ากับ 3,500 กิโลแคลอรี่ ซึ่งน้ำหนักของเราจะเพิ่ม 0.5 กิโลกรัม เดือนนึงน้ำหนักของเราก็เพิ่ม 2 กิโลกรัม กลับกันถ้าเราลดแคลอรี่ได้วันละ 500 กิโลแคลอรี่ เดือนนึงเราก็จะลดน้ำหนักได้ 2 กิโลกรัม เช่นกัน

บอดี้ดี สุขภาพก็ดี ด้วยคีย์ ของการลด และควบคุมน้ำหนัก คือ การควบคุมแคลอรี่ โดยวิธีที่ง่ายสุดและได้ผล สำหรับการควบคุมแคลอรี่ คือ ควบคุมด้วย ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย การอบรม ความรู้เหนือกว่ากับการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน

คลิกลิงค์ ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line ID : @chavanut และ IG: chavy212

กินนิด กินหน่อยก็อ้วน ยิ่งลดน้ำหนัก ยิ่งอ้วนมากกว่าเดิม เพราะ…….อารายแว้!!!

ปัญหาเหล่านี้ กินนิด กินหน่อยก็อ้วน ยิ่งลด ยิ่งอ้วนมากว่าเดิม เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ เรามาดูกันว่ามันเพราะอารายแว้!!! ข้อมูลความรู้ทำให้เรา สามารถที่จะพิจารณาไคร่ครวญได้ ไม่ต้องมานั่งคิดเอง เออเอง ซึ่งทำให้ผิดเพี้ยนไปได้

 

เคยสังเกตุกันมั๊ยครับว่า คนไทยที่เดินมาทุกๆ 3 คนจะมีคนอ้วน 1 คน คุณคือ 1 ใน 3 ที่อ้วนหรือ 2 ใน 3 ที่ไม่อ้วนหรือเปล่า บางคนอาจจะเถียง อ้วนแล้วไง? ก็ไม่ไงหรอกครับ แค่จะบอกว่า ถ้าคุณเป็น 1 ใน 3 ที่อ้วน ขอแสดงความยินดีว่า คุณมีโอกาสได้เป็นโรคดังต่อไปนี้ ดีใจมั๊ยครับ!!! ลองมองดูคนใกล้ตัว รอบๆ ตัวเราดูว่ามีบ้างหรือเปล่าที่อ้วนแล้ว เป็นโรคตามด้านล่างเหล่านี้ ผมคนนึงล่ะที่มี เอาคนที่ใกล้ชิดผมที่สุดก็แล้วกัน ก็พ่อของผมเองครับ เริ่มจากอ้วนลงพุง แล้วก็เบาหวาน ตามมาด้วยเส้นเลือดหัวใจตีบ สุดท้ายพ่อผมก็เสียชีวิตจากโรคเหล่านี้ นั่นคือเหตุผลข้อนึงว่า ต่อมามันทำให้ผมเริ่มหันมาสนใจ เรียนรู้ เรื่องสุขภาพ การลดน้ำหนัก และลงมือทำด้วยตัวเองครับ

1. ไขมันในเลือดสูง
2. ความดันเลือดสูง
3. ว่าที่เบาหวาน
4. เบาหวาน
5. อัมพาต อัมพฤกษ์
6. โรคหัวใจ

 


อ้าวเหรอ! หลายคนเสียงเริ่มอ่อน แล้วมันอ้วนมาจากอะไร ? ผมว่าหลายคนก็รู้ตัวดีครับ แต่บางคนก็มองไม่เห็นเพราะมันเป็นวิถีชีวิตในทุกๆวันของเรา มันฝังอยู่ในตัวเราจนเราละเลยมองไม่เห็น ผมจะบอกว่าปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วนในปัจจุบันมาจากวิถีชีวิตเหล่านี้ครับ

1. วิถีชีวิตไม่กระฉับกระเฉง เนือย นิ่ง
2. พฤกติกรรมที่ไม่ดี เช่น นอนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลัง ปาร์ตี้บ่อย
3. อาหารที่รับประทาน คุณภาพต่ำ
4. สัดส่วนในการบริโภคอาหารไม่เหมาะสมมากเกินไป
5. รายได้ต่ำ ทำให้ซื้อได้แค่อาหารคุณภาพต่ำ ราคาถูก เช่น พวกแป้ง
6. ราคาอาหารที่ทำให้อ้วนมักจะราคาถูก
7. อาหารโภชนาการต่ำ สารอาหารไม่ครบ ไม่ได้สัดส่วน

 


เหรอ เหรอ เหรอ !!! แล้วมันจะลดน้ำหนักให้กลับไปหุ่นสเลนเดอร์ สุขภาพดี เหมือนตอนวัยเอาะ เอาะ ได้ยังไงบอกหน่อยดิ ? บอกเลยว่าต้องเข้าใจสิ่งนี้ก่อน จำไว้นะครับ

1. กิน เท่ากับ ใช้ (น้ำหนัก เท่าเดิม)
2. กิน มากกว่า ใช้ (น้ำหนัก เพิ่มขึ้น)
3. กิน น้อยกว่า ใช้ (น้ำหนัก ลดลง)
อยากผอมก็ต้องข้อ…… (เฉลย ข้อ 3)

ตัวอย่างง่ายๆ เลยนะครับ หากเราลดแคลอรี่ได้จากที่เคยกินวันละ 500 แคลอรี่ ครบ 7 วันเท่ากับ 3,500 แคลอรี่ น้ำหนักของเราจะลดไป 0.5 กิโลกรัม ทำไปจนครบ 1 เดือน เราจะลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 2 กิโลกรัม เห็นมั๊ยว่ามันง่ายนิดเดียว แต่ทำมั๊ย! ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ต้องเลือกเอง ทำเอง ไม่มีใครทำแทนเราได้ หากตัดสินใจที่จะลดน้ำหนักก็ต้องรู้วิธีการลดที่ถูกต้อง ปลอดภัย ด้วยครับ

 

อืม เข้าใจล่ะ!! แต่ว่าเคยเห็นวิธีการลดน้ำหนักมีเยอะแยะมากมาย ไม่รู้ว่าแต่ละวิธีดี ไม่ดี แตกต่างกันยังไง ? วานบอก ได้ครับผม ตั้งใจอ่านนะ ผมจะแบ่งเป็นกลุ่มๆ เริ่ม….ละนะ !!!!!

1. อดอาหาร ยาลด นน. กาแฟลด นน. ก็เป็นการลดปริมาณอาหารที่กินให้น้อยลง แคลอรี่ก็น้อย ทำให้ได้สารอาหารไม่ครบ ส่งผลให้ระบบเผาผลาญบกพร่อง น้ำหนักลดลง แต่พอออกคอร์สหรือหยุดกิน ก็จะกลับมาอ้วนใหม่หรือเรียกว่า โยโย่!!! คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดัน เป็นต้น อาจอันตรายถึงตายได้
2. คุมแคลอรี่ด้วยการควบคุมอาหาร คือกินน้อยมาก อดอาหาร มื้อเย็นงดอดไม่กิน ผลก็เหมือนกับข้อแรก เพราะวิธีนี้ทำให้ระบบเผาผลาญบกพร่อง แล้วถ้าทำหลายครั้ง ผลจะกลับมาอ้วนมากกว่าเดิม กินนิดหน่อยก็ยังไม่ผอม อันตรายครับ
3. ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารและตัวช่วย วิธีนี้ก็เป็นการควบคุมปริมาณอาหารกับแคลอรี่เหมือนกัน แต่ผลิตภัณฑ์พวกนี้จะมีสารอาหารครบในแต่ละมื้อที่ร่างกายต้องการ ทำให้ได้สารอาหารครบถ้วน พอเพียง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญของเราทำงานได้สมบูรณ์ น้ำหนักเลยลดลงแบบไม่โทรม ไม่เสียสุขภาพ พอออกคอร์ส อาการโยโย่ ก็จะไม่มีเป็นการลดแบบให้ผลรวดเร็ว ปลอดภัย แต่ก็แลกมาด้วยเงินที่ต้องซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาช่วยในการลดน้ำหนัก

จากประสบการณ์ที่ผมลดน้ำหนักได้สำเร็จ ก็จากข้อ 3 ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร และตัวช่วย ผมลดไป 8 กิโลกรัม ก่อนหน้านั้นผมก็เคยใช้วิธีตามข้อ 2 คุมอาหารเอง มันก็ลดได้ แต่พอลดได้แค่ 3 กิโลกรัม มันก็หยุดนิ่งเลย ทำยังไงก็ไม่ลงอีกเลย จนท้อใจ เลิก กลับไปกินเหมือนเดิมดีกว่า ประชดชีวิตไปเลย จนน้ำหนักพุ่งขึ้น จนทนตัวเองไม่ไหว ก็มาโอเคกับแนวทางผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารนี่แหละครับ ตอนนี้สบายตัว มั่นใจในตัวเองมากขึ้น

สุดท้ายจากประสบการณ์และข้อมูล หวังว่าทุกท่านที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวคงจะสามารถเลือกได้นะครับว่า วิธีไหนดีต่อตัวเรา ไม่มีใครรู้ตัวเราได้ดี เท่ากับตัวเราเองครับ ผมมีคำถาม 2 ข้อที่จะถาม ลองตอบในใจดูครับว่า จะเลือกข้อไหน
1. จ่ายเงิน หมื่นกว่าบาท เพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดี หรือ
2. จ่ายเงิน หมื่นกว่าบาท เพื่อรักษาโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน หลอดเลือด
ก็อยู่ที่เราเลือก ฝากคำนี้ไว้ครับ คุณเป็นอย่างที่คุณกิน (You are what you eat)

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

เกาะกระแส เทรนด์ใหม่ Energy Drink ที่คุณห้ามพลาด

     ช่วงนี้หลายคนคงเคยเห็นเครื่องดื่มประเภท Energy Drink ออกมามากมายในท้องตลาด แต่มี Energy Drink ที่น้ำตาล 0% แคลอรี่ 0% ยังไม่เห็น ส่วนใหญ่จะมีน้ำตาล มีแคลอรี่ เกือบทุกยี่ห้อ

     Energy Drink ช่วยให้เราออกกำลังกายได้นานขึ้น ทำงานได้นานขึ้น แบบว่า เป็นคนพลังงานเหลือล้น เกินปกติของตัวเราเอง

ส่วนประกอบ

ส่วนประกอบหลักเลย คือ ทอรีน และแอล-คาร์นีทีน

ทอรีน

     สารอาหารหลายชนิดมีความสำคัญกับสุขภาพของเรามากเลย แต่เราอาจไม่ค่อยรู้จักประโยชน์ของสารอาหารเหล่านั้นดีพอ จึงไม่ได้รับประทานให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างเช่น “ทอรีน” ซึ่งมีประโยชน์ดีต่อร่างกายของเราไม่น้อยเลยทีเดียว เดี๋ยวจะเหลาให้ฟังว่าดียังไงบ้าง

     ทอรีน เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่พบได้มากในเซลล์ประสาท กล้ามเนื้อหัวใจ และสมองของเรา นั่นแปลว่า ร่างกายของเราก็สามารถสร้างทอรีนขึ้นมาใช้เองได้ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายละลดการสร้างทอรีน หรือสร้างได้น้อยลง นั่นจึ่งเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งเหนื่อยง่ายขึ้นทุกวัน ดังนั้น ใครอยากเพิ่มพลังกาย เติมพลังใจ ก็ต้องเพิ่มทอรีนให้ร่างกายด่วน

ทอรีนยังมีคุณประโยชน์อื่นอีก นอกจากเพิ่มพลังกายให้เราแล้ว เช่น

  1. ช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเราอึดขึ้น นานขึ้น หนักขึ้น แถมปลอดภัยด้วย
    • หนักขึ้น เป็นคุณสมบัติที่ดีเด่น โดนใจคนรุ่นใหม่ที่ชอบการออกกำลังกาย หรือต้องใช้พลังกายมาก ๆ ทอรีนคือ สารอาหารที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อของเราอึดขึ้น เพราะทอรีนช่วยเพิ่มศักยภาพในการยืด และหดตัวของกล้ามเนื้อเกือบทั้งหมดของร่างกายของเรา ทอรีนจึงช่วยให้เราสามารถทำงานได้หนักขึ้น เล่นกีฬาได้หนักขึ้น โดยที่เราจะเหนื่อยน้อยลงกว่าเดิมแน่นอน
    • อึด ทน นานขึ้น กว่าเดิม เพราะทอรีนสามารถขจัดกรดแล็กติค อันเป็นสาเหตุหลักของความเจ็บปวด และความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ จึงช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถออกแรงได้นานขึ้น แต่ก็ยังปลอดภัยไม่ต้องกลัวว่ากล้ามเนื้อจะเสียหาย เพราะทอรีนจะเป็นเกราะป้องกันกล้ามเนื้อให้สามารถออกแรงหรือเคลื่อนไหวได้ ปลอดภัยมากขึ้น สบายใจได้เลย
    • ด้วยคุณสมบัติข้างต้น ทอรีนจึงเหมาะมาก สำหรับคนที่ออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนัก หรือรักษาน้ำหนักตัว ที่พิเศษกว่าคือ ไม่เพิ่มแคลอรี่ หรือน้ำตาลให้กับร่างกายของคนที่กำลังลดน้ำหนัก หรือรักษาสุขภาพทุกคน
  2. ช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย และหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
    • เพราะทอรีนสามารถช่วยควบคุมปริมาณของแคลเซียมในหัวใจให้พอดี ช่วยทำให้ร่างกายดึงแคลเซียมมาใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจได้สมดุลขึ้น พร้อมกันนี้ยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต การสูบฉีดเลือดของหัวใจ จังหวะการเต้นของหัวใจ รวมทั้งความเข้มข้นของเกล็ดเลือดให้เป็นปกติ จึงเป็นเหตุผลว่า ทอรีน สามารถช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย และหัวใจเต้นผิดจังหวะได้นั่นเอง
  3. ช่วยลดความเครียด อาการกระสับกระส่าย
    • เพราะทอรีนมีคุณสมบัติเป็นสารระงับประสาทอย่างอ่อนๆ ด้วยการเป็นตัวนำกระแสประสาทในสมองของเรา ซึ่งช่วยให้สามารถบรรเทาความเครียด ระงับประสาทในสภาวะสมองของเราตื่นตัวมากกว่าปกติ ตลอดจนช่วยบรรเทาอาการลมชักได้
  4. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
    • ทอรีนมีส่วนช่วยเราป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคอ้วน โรคหลอดเลือดแดงแข็งจากสภาวะไขมันในเลือดสูง อันเนื่องมาจากกลุ่มอะมิโนของทอรีนทำปฏิกิริยากับเรตินอลในตับได้ จึงมีคุณสมบัติช่วยลดการดูดซึมของไขมันในตับ ส่งผลให้ระดับของคอเลสเตอรอลและไขมันในตับลดน้อยลง
  5. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    • ทอรีน สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะอินซูลินทำงานได้น้อยลงนั่นเอง ทำให้เราไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นโรคเบาหวาน
  6. ช่วยเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
    • ทอรีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant อย่างนึง
    • ช่วยดีท็อกซ์สารพิษในตับได้
    • ช่วยป้องกันปอดไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายได้
    • ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล หรือไขมันที่ไม่ดีในตับได้
    • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตับได้
  7. ช่วยเสริมให้จอประสาทตาของเรา แข็งแรงขึ้น
    • ทอรีนที่มีอยู่ในจอประสาทตา หรือเรตินา และสมอง จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เซลล์ประสาทตา โดยเฉพาะเซลล์ประสาทตาในส่วนที่รับแสงด้านนอกของเรตินา จึงช่วยป้องกันไม่ให้จอประสาทตาเสื่อมจากแสงสว่าง หรือสารเคมีที่กระทบเข้าดวงตาเราได้ด้วย

แอล-คาร์นิทีน

     อยากรู้มั๊ยครับว่า แอล-คาร์นิทีน (L-Carnitine) เหมาะกับใครบ้างเอ่ย ? ก่อนอื่นเลยต้องรู้ก่อนว่า “แอล-คาร์นิทีน” ทำอะไรกับร่างกายของเรา หลักๆ เลยก็คือ การช่วยเผาผลาญไขมันทั้งคอเลสเตอรอลกับไตรกลีเซอร์ไรด์ โดยเฉพาะไขมันกล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์ตับ อีกอย่างเลยคือ การทำหน้าที่ลำเลียงโมเลกุลเข้าไปในเซลล์ เพื่อเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน แล้วนำไปใช้ ดังนั้นแอล-คาร์นิทีน จึงเป็นตัวช่วยในการช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ดี

เหมาะกับคนกลุ่มไหนบ้าง

1. กลุ่มนักกีฬา ซึ่งต้องออกกำลังกายอย่างหนัก และเพิ่มความทนทานให้กับการออกกำลังกายให้มากขึ้น   เมื่อได้รับแอล-คาร์นิทีน ก็จะทำให้นักกีฬาสามารถใช้ออกซิเจนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้เหนื่อยช้าลง ส่งผลให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น แนะนำกินล่วงหน้าก่อนแข่งขัน 2-3 สัปดาห์ ลดความเหนื่อยล้า ไม่มีแรง อ่อนเพลีย และลดอาการปวดเมื่อยตามตัว

2. กลุ่มออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก แอล-คาร์นิทีน จะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน   แล้วนำไปใช้ได้มากขึ้น แถมยังออกกำลังกายได้นานขึ้น ก็ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นไปด้วย และช่วยกลุ่มคนที่มีปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มเร็ว เพราะมีไขมันสะสมมากเกินมาตรฐาน

3. กลุ่มคนป่วยโรคมะเร็ง และโรคไต   จำเป็นต้องได้รับ แอล-คาร์นิทีน เพื่อเอาไปชดเชยที่ร่างกายขับออกไป เนื่องจากยาที่ใช้รักษาโรคนั่นเอง

4. กลุ่มที่กินมังสวิรัติ   ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับ “แอล-คาร์นิทีน” ที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ เพราะฉนั้น ก็เลยไม่มีตัวช่วยนำไขมันเข้าไปเผาผลาญในเซลล์ เมื่อไขมันไม่สามารถเข้าไปในไมโตคอนเดรีย เพื่อย่อยสลายได้ ก็จะทำให้มีระดับไตรกลีเซอร์ไรด์สูงขึ้น

5. สำหรับผู้ชายที่อสุจิอ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่ปราดเปรียว   เมื่อเราได้รับ แอล-คาร์นิทีน จะทำให้อสุจิเคลื่อนไหวเร็วขึ้น เพิ่มตัวอสุจิให้มากขึ้น โอกาสที่เราจะมีเจ้าตัวน้อยก็มากขึ้น สำหรับคนที่ต้องการทายาทไว้สืบสกุล

6. ผู้สูงอายุที่มีอาการอัลไซเมอร์   แอล-คาร์ริทีนจะช่วยขจัดลดอาการสลดหดหู่ ซึมเศร้าได้ และเมื่อใช้ร่วมกับกรดแอลฟา ไลโปอิก ก็เหมาะสำหรับช่วยให้ผู้สูงอายุมีพลังดีขึ้น ช่วยต้านความรู้สึกหดหู่ได้ และลดอาการอ่อนเพลียได้ดี

7. กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ออาการโรคหลอดเลือดแข็ง และคอเลสเตอรอลสูง   เพราะแอล-คาร์นิทีน ช่วยเผาผลาญไขมันในไมโตคอนเดรีย หากเรารับปริมาณแอล-คาร์นิทีนไม่เพียงพอ จะเกิดสารตกค้างในระบบไหลเวียนของเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่ออาการโรคหลอดเลือดแข็ง และคอเลสเตอรอลสูง

     Energy Drink ราคาก็พอๆ กับกาแฟแก้วนึง แต่ให้ประโยชน์มากกว่าเยอะ แถมแคลอรี่เท่ากับศูนย์ และน้ำตาลเท่ากับศูนย์ ดีต่อคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และดีต่อสุขภาพ หาลองดื่มกันดูนะครับ สำหรับตัวผมเอง ตอนนี้ติดไว้ในตู้เย็นที่บ้านกับพกมาไว้ที่ทำงาน เย็นวันไหนมีเตะฟุตบอลก็ดื่มก่อนเล่นซะกระป๋องนึง วิ่งสบายไม่ค่อยเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อน เล่นกีฬาได้นานขึ้น แบบรู้สึกได้เลย เหมือนรถที่เติมน้ำมันค่าอ๊อกเทนสูงทีเดียว หรือดื่มแทนกาแฟ น้ำหวาน ที่ดื่มทุกวัน ถ้าวันไหนมีลงแข่งก็มากหน่อย 2 กระป๋อง ส่วนที่บ้านแม่ของผมก็ดื่ม แม่บอกว่าดื่มแล้ว ไม่เพลีย มีแรง ได้ยินแบบนั้นก็สบายใจสำหรับคนเป็นลูกละ ดื่มให้อร่อยต้องแช่ให้เย็นนะครับ ชื่นใจ พลังงานพลุ่งพล่านพร้อมปลดปล่อย

คลิกลิงค์ ผลิตภัณฑ์ Energy Drink พลังเหลือล้น น้ำตาล แคลอรี่แค่ 0%

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ทำไมเราถึงลดน้ำหนักพร้อมกับเพิ่มกล้ามเนื้อไม่ได้


“พี่หนูอยากลดน้ำหนักแล้ว ขอมีกล้ามมีซิกส์แพคด้วยนะ”
อึ่ม! ใครๆ ก็อยากเป็นแบบนั้นหละครับ แต่มันไม่สามารถทำแบบนั้นได้พร้อมกันในคราวเดียวกันนะครับ “อ้าว! หนูนึกว่า ถ้าหนูผอมลงแล้ว หนูจะมีหุ่นแบบนั้นได้ มีกล้ามมีซิกส์แพคเลย” โอเค จะเล่าแจ้งแถลงไขให้ฟังละกันว่าทำไม….?

การลดน้ำหนัก คือ การลดมวลไขมันในร่างกายให้น้อยลง โดยเสียมวลกล้ามเนื้อให้น้อยที่สุด การที่เราบอกว่า ลดน้ำหนักได้ 2 โล 4 โล นั่นควรจะเป็นมวลไขมันที่ลดลง ไม่ใช่มวลกล้ามเนื้อครับ เพราะถ้าเราสูญเสียมวลกล้ามเนื้อจะส่งผลให้อัตราการเผาผลาญของเราลดลง ทีนี้พอเราออกจากโปรแกรมลดน้ำหนัก แล้วกินเท่าเดิม น้ำหนักของเราจะเพิ่มขึ้น หรือโยโย่

วิธีการลดน้ำหนักหรือไขมัน จะเกิดจากการที่ร่างกายรับพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป น้อยกว่าปริมาณที่เราใช้ออกไป ทำให้ร่างกายขาดแคลนพลังงาน ทำให้ร่างกายจำเป็นต้องนำพลังงานที่สะสมในรูปแบบต่างๆ มาใช้ สิ่งหนึ่งก็คือไขมันที่สะสมตามร่างกายนั่นเอง ทำให้มวลไขมันลดลง น้ำหนักลดลง ผอมลงนั่นเอง

การเพิ่มกล้ามเนื้อ คือ เกิดจากการฝึก หรือการที่เราออกกำลังกายกระตุ้นให้ร่างกาย สร้างกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องอาศัยโปรตีนและพลังงานที่มากพอ ผลที่ได้รับคือ กล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง

สรุปได้ว่า เราไม่สามารถทำได้ เพราะการลดน้ำหนัก คือแคลอรี่ที่รับต้องน้อยกว่าที่ต้องการ แต่การเพิ่มกล้ามเนื้อ คือแคลอรี่ที่รับต้องมากกว่าที่ต้องการ เห็นมั๊ยครับว่า มันแย้งกันอยู่ เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงทำพร้อมกันไม่ได้

S__4407299

ทำอย่างไรดี ก็ในเมื่อมันทำพร้อมกันไม่ได้ เราก็เลือกทางใดทางหนึ่งดิครับ แนะนำอย่างนี้ครับ

ถ้าต้องการลดน้ำหนัก หรือไขมัน ก็ไม่ต้องคิดเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อ เราแค่ทำอย่างไรที่จะลดไขมันอย่างไร ให้เสียมวลกล้ามเนื้อน้อยที่สุด

ถ้าต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ ก็ให้พุ่งเป้าไปที่การเพิ่มกล้ามเนื้อ ไม่ต้องสนใจการลดไขมัน หรือน้ำหนัก โดยคิดว่า จะเพิ่มกล้ามเนื้ออย่างไรให้ไขมันเพิ่มน้อยที่สุดก็โอเค

ตัวอย่างแนะนำถ้าอยากได้ทั้งสองอย่างนะครับ คือ เราต้องลดไขมันให้อยู่ในระดับที่พอใจ แล้วหลังจากนั้นถึงทำการเพิ่มกล้ามเนื้อ แค่นี้ก็ได้ทั้งสองอย่าง แต่ต้องทำทีละอย่าง และใช้เวลา วินัย ความอดทน เพื่อให้ได้มันมาครับ

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line ID : @chavanut และ IG: chavy212

ลดน้ำหนักกินสารอาหารอย่างไร ให้น้ำหนักลดดั่งใจ

“กินอะไรดี กินอะไรดี” เรามักจะได้ยินบ่อย ๆ ตอนมื้อที่เราจะกินข้าว แล้วก็จะมีคำตอบออกมาว่า “ไม่รู้เหมือนกัน กินอะไรก็ได้ กิน ๆ ไปเหอะให้มันอิ่มก็พอ” ผมล่ะเป็นบ่อย แบบว่าพอเที่ยงทีไร มันมึนงง ไม่รู้จะกินอะไร ก็เลยกินส่งเดช อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นนั่นแหละ ผลเหรอครับ อ้วนดิครับผม กินแบบไม่คิดอะไร ไม่คิดว่ามันจะมีผลอะไรกับรูปร่าง สุขภาพของเรา ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าว่า คนลดน้ำหนักต้องกินยังไง น้ำหนักถึงจะลดได้อย่างที่ตั้งใจ

Processed with MOLDIV

อัตราส่วนของสารอาหารที่เรากินในแต่ละมื้อ เป็นสิ่งสำคัญที่ชี้ว่าเราจะลดน้ำหนักได้ตามที่ต้องการหรือไม่ เพราะอัตราส่วนของสารอาหารสำหรับคนแต่ละประเภท แต่ละกลุ่มจะไม่เท่ากัน คือ

  1. คาร์บสูง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการบิ้วบอดี้ คนที่กิจกรรมมาก เป็นนักกีฬา ต้องการเพิ่มน้ำหนัก ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เพราะคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใช้พลังงานสูง จึงต้องการพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตสูง แบบว่ากินเข้าไปเยอะ แต่ก็ใช้หมด ปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินไม่เกิด แบบว่ากินไป 2,000 แคลอรี่ ใช้ไป 2,000 แคลอรี่ ก็ไม่มีเหลือเก็บเป็นไขมันสะสมตามตัว แต่ถ้าไม่ได้เป็นคนในกลุ่มนี้ แล้วกินแบบนี้ รับรองน้ำหนักเพิ่มพรวดแน่นอน ไม่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก
  2. คาร์บปานกลาง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคงน้ำหนักตัว คนที่ต้องการรักษาสุขภาพทั่วไป คนที่ต้องการรักษาน้ำหนัก คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง หรือเป็นไฮเปอร์ไธรอยด์ กินแบบกลาง ๆ สมดุลเพื่อคงน้ำหนักตัวไว้
  3. คาร์บต่ำ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ที่อ้วนส่วนใหญ่ก็เพราะกินคาร์โบไฮเดรตเยอะ พลังงานก็เยอะ โดยพลังงานจากแป้งที่เหลือจากการใช้ในชีวิตประจำวัน จะเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บสะสมได้ง่ายที่สุด เพราะฉนั้นคนที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ถึงต้องลดคาร์โบไฮเดรตให้ต่ำ เพิ่มโปรตีนให้มาก เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้สูงขึ้น ทำให้น้ำหนักของเราจะค่อย ๆ ลดลง ระบบการเผาผลาญดีขึ้น ยังรวมถึงคนเป็นเบาหวาน คนมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหารด้วย ที่ต้องการคาร์บต่ำ

food-platter-2175326_1920

รู้แบบนี้แล้ว ก็ยังมีปัญหาอีกนะครับ คือ ตอนปฏิบัติมันช่างยากแสนยากในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะชีวิตคนเมือง ทำงานประจำ เวลาน้อย จะมานั่งกิน เท่านั้น เท่านี้ แค่คิดก็ยากแล้ว แถมต้องรีบกินด้วย ต้องทำงานต่อ เฮ้อ! เปงลมดีก่า เรามาเน้นกันเฉพาะคนที่ลดน้ำหนักว่า จะมีวิธีกินอย่างไรให้ง่ายที่สุดในชีวิตประจำวัน ลองวิธีนี้ดูที่ผมใช้ประจำ

  1. ลดข้าวลงครึ่งนึง เอามันง่าย ๆ แบบนี้แหละ เพราะคนไทยกินข้าวเป็นอาหารหลัก และกรุณาลดหรือแบ่งก่อนที่จะลงมือกินนะครับ
  2. สั่งกับข้าวเน้นโปรตีนที่เป็นโปรตีนจากปลาเป็นอันดับแรก ถ้าไม่มีก็หมู และไล่ไปเนื้อวัวหลังสุด โปรตีนจากปลาย่อยง่ายที่สุด ของแถมน้อยสุด
  3. ไขมันไม่ต้องไปสนใจที่จะเพิ่ม เพราะมันมีอยู่ในอาหารที่เขาทำหรือปรุงขายอยู่พอสมควรแล้ว ไม่ขาดแน่ ๆ อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ควรระวังว่าจะเกินดีกว่า ระวังอาหารผัด หรือทอดให้มาก ๆ เข้าไว้

ต่อให้ทำอย่างที่ผมบอกก็ไม่ง่ายในบางครั้งนะครับ เพราะเราไม่ได้ทำอาหารกินเอง ไม่มีเวลา เลยต้องมาซื้อกิน ชีวิตคนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ เราเลยอาจต้องพึ่งพิงอาหารเสริมบ้างครับ เพื่อ

  1. เสริมโปรตีน เพื่อให้ร่างกายของเราได้สารอาหารโปรตีนที่เพียงพอ ปกติเราควรได้รับโปรตีน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ต่อวัน ไม่น่าเชื่อว่าคนไทยโดยส่วนใหญ่ขาดโปรตีน เพราะอะไรเหรอครับ ลองคิดดู สมมุติผมหนัก 69 กก. แสดงว่าผมต้องการโปรตีน 69 กรัม ผมต้องกินเนื้อไก่ 250 กรัม ถ้าเป็นโปรตีนจากไข่ไก่เบอร์ใหญ่สุดก็ต้องกิน 12 ใบ กินยังไงไหว หรือถ้าเป็นโปรตีนจากเนื้อปลาก็ต้องกินถึง 310 กรัม คิดดูสั่งกะเพราไก่มาจานนึงคิดว่าไก่กี่ชิ้น คิดยังไงก็ไม่พอเพียงครับ การเสริมจึงเป็นทางเลือกสำหรับคนในยุคปัจจุบัน แถมโปรตีนยังช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ และเพิ่มอัตราการเผาผลาญของเราให้สูงขึ้นด้วย
  2. ใช้ตัวช่วยลดการดูดซึมแป้ง และน้ำตาล ด้วยเหตุผลว่าคนไทยกินข้าวเป็นหลัก เหมือนเขาว่ากินอะไรก็ไม่อิ่มเหมือนกินข้าว แถมเดี๋ยวนี้กินข้าวเสร็จต้องตบท้ายด้วย น้ำชง หวานอร่อยชื่นใจอีกสักแก้ว สดชื่น แคลอรี่เต็ม ๆ ไขมันเพิ่ม น้ำหนักเกิน 555555 อย่างง่ายดาย เราสามารถกินเพื่อระบายความอยาก อัดอั้น แต่แคลอรี่เข้าร่างกายน้อยลงได้มั๊ย ? ขอบอกว่าได้ครับ ด้วยการกินตัวบล็อกแป้ง น้ำตาล แต่ก็แลกมาด้วยการต้องจ่ายเงินเพิ่มซื้อตัวบล็อกแป้ง น้ำตาลมากิน แต่ถ้าใครสามารถควบคุม มีวินัยไม่กินแป้ง น้ำตาลได้ก็ไม่ต้องเสียตังค์ครับ อันนี้ก็คิดพินิจ พิจจารณาดูนะครับ ตามความเหมาะสมของเราเอง
  3. ช่วยให้อิ่มด้วย ตัวทดแทนมื้ออาหาร ที่ให้สารอาหารครบถ้วน ให้พลังงานต่ำ โดยเฉพาะกลุ่มวิตามิน และกลุ่มเกลือแร่ที่จำเป็น ใยอาหาร (ไฟเบอร์) ส่งผลให้เราสามารถควบคุมแคลอรี่ได้แม่นยำ ทำให้น้ำหนักลดลงได้ง่ายขึ้น สะดวก ที่สำคัญระบบการเผาผลาญไม่เสียหายจากการที่สารอาหารไม่ครบด้วย

ทั้งนี้  ทั้งนั้น การเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักให้สำเร็จได้ผลที่ต้องการแล้ว วินัย คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราทำได้สำเร็จครับ แล้ววินัยคืออะไร ในความหมายของผมนะ วินัย คือ การลงมือทำ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่สำเร็จ ไม่เลิก เอาให้มันรู้กันไปว่า ตรูก็แน่จริง เอ็งไม่มีวันชนะข้าหรอก คุณไขมัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า จงออกไป จงออกไป จงออกป๊าย!!!

ลิงค์แนะนำ ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 77 เหลือ69

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line ID : @chavanut และ IG: chavy212

ลดน้ำหนักด้วย บอดี้คีย์ (Body Key) ได้ผลดังใจ เพราะ 2 สิ่งนี้!

บอดี้คีย์ ช่วยลดน้ำหนักได้จริงเหรอ! ?………

ทำไมน้ำหนักไม่ลงเลยล่ะ ?………

สรุปว่าบอดี้คีย์ ดีจิงป่าว? เนี่ย!! จ่ายไปเยอะแล้วนะเนี่ย!………

แล้วทำยังไง ถึงจะได้ผล คุ้มค่าเงินที่จ่ายไป ?………

คำถามเหล่านี้ เกิดขึ้นกับคนที่ต้องการที่จะลดน้ำหนักด้วย บอดี้คีย์ แน่นอน! </>

จากประสบการณ์การลดน้ำหนักด้วยตัวเอง และคอยให้คำแนะนำ ดูแลคนที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ ผมพิสูจน์พบว่า มีอยู่ 2 สิ่งที่คนเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักต้องมี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และประหยัดเงิน คุ้มค่าที่จ่ายไป ดังที่ผมจะเล่าแจ้งแถลงไขให้ฟังดังต่อไปนี้ละครับ สิ่งนั้นคือ……

  1. วินัย (Disclipline) สาเหตุที่เราอ้วน หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้น ก็เพราะเกิดจากวินัยในการใช้ชีวิต เช่น การนอน ความเครียด การออกกำลัง กิจกรรมในชีวิตประจำวัน และการกินอาหารที่หย่อนยานมาเป็นเวลานาน จนกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดี ส่งผลต่อน้ำหนักตัวที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แล้วก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา อย่าง เบาหวาน ข้อเข่า ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง โรคหัวใจ เป็นต้น ถ้าเราได้ทำแบบสอบถามในแอพ BodyKey แล้วดูผลที่ออกมา จะฟ้องออกมาเลยว่า แย่!!! โดยส่วนใหญ่เลย เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก มันคือ การปรับเปลี่ยนพฤกติกรรมที่ แย่!!! ให้ดีขึ้น โดยการทำตามโปรแกรม ซึ่งต้องอาศัย “วินัย” ของตัวเองในการที่จะปฏิวัติตัวเอง เพื่อให้ปฏิบัติให้ได้ตามโปรแกรมลดน้ำหนักมากที่สุด แต่ถ้าขาดซึ่ง วินัย คือไม่ได้ทำตามโปรแกรมลดน้ำหนักอย่างเคร่งครัด ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต้องบอกละครับว่า เป็นอย่างไร มีโอกาสที่จะเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ค่อนข้างสูง
  2. โค้ช (Coach) หรือคนที่คอยให้คำปรึกษา ให้ข้อมูล คอยแก้ปัญหา ให้กำลังใจ ในช่วงที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก เพราะช่วงเข้าโปรแกรมอารมย์ความอยากกิน อาจจะทำให้เราเหวี่ยงไปมา แบบว่าโมโหหิวได้ 55555 ต้องมีคนคอยสนับสนุนช่วยเหลือ ยิ่งถ้ามีประสบการณ์ในการลดน้ำหนักมาก่อน ยิ่งดีครับ เพราะเขาจะเข้าใจสถานการณ์ อารมย์ ที่เกิดขึ้นในขณะที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนักของเราได้ดี บางสิ่งบางอย่างเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ ทำไมเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เราก็สามารถถามหาคำตอบได้จากโค้ชที่ช่วยเหลือเราอยู่ได้

diary-1974728_1280

มีหลายคนถามว่า “แล้วจะสร้างวินัย  ในตัวเองได้อย่างไร” ผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เหมือนกัน แต่ตอนที่ผมเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ผมมีเป้าหมายที่ชัดเจน หนักแน่นในการลดน้ำหนักว่า เป้าหมายคืออะไร ทำไมต้องลดน้ำหนักเพื่ออะไร  (ช่วยเขียนมันออกมาเป็นตัวหนังสือ) พอเป้าหมายชัดเจน โปรแกรมให้ทำยังไง ก็แค่ทำตาม โดยเงื่อนไขน้อยที่สุดหรือปราศจากเงื่อนไขไปเลย และผมตอกย้ำ เป้าหมายทุกวัน พอทำไปเรื่อย ๆ มันเลยกลายเป็นนิสัยที่ดีอัตโนมัติไปเลย ท่องไว้ครับ “ฉันเป็นคนมีวินัย มุ่งมั่น ขยัน อดทน และมีความสุขสุดๆ” เหมือนที่หนังสือหลายเล่มบอกว่า “การที่เราทำสิ่งใด สิ่งหนึ่ง สม่ำเสมอ เป็นเวลา 21 วันได้ มันจะกลายเป็นนิสัยของเรา” 

ผมหวังว่า สิ่งที่ผมบอกเล่ามาจะช่วยให้พวกเราที่กำลังจะตัดสินใจเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก หรือกำลังอยู่ในโปรแกรมลดน้ำหนัก ประสบความสำเร็จดังที่คาดหวังไว้นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้ครับ สู้ สู้ !!!!!! คุณทำได้!

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line ID : @chavanut และ IG: chavy212

5 ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้การเผาผลาญของร่างกายลดลงเร็วเกินวัย

1. มวลกล้ามเนื้อลดลง เนื่องจากไม่ค่อยมีการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้าง

กล้ามเนื้อเป็นส่วนที่เผาผลาญพลังงานมากที่สุดในร่างกาย ยิ่งมีมากก็ยิ่งเผาผลาญพลังงานมาก เมื่อเราอายุมากขึ้น หรือไม่ได้มีการออกกำลังเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อของเราจะมีการสลายเป็นธรรมชาติปกติอยู่แล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายเราลดลง ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งสลายมากขึ้น น้ำหนักของเราก็จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นแบบเราไม่ทันรู้ตัว หลายคนคงเคยได้ยินประโยคนี้ “ตอนเด็กอายุน้อย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แล้วทำไมตอนนี้ กินนิดกินหน่อยก็อ้วนแล้ว” คงเข้าใจนะครับว่าเพราะว่าอะไร

คำแนะนำเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ
– เพิ่มการออกกำลังแบบสร้างกล้ามเนื้อ เช่น ยกน้ำหนัก ฟิตเนสบางท่าอย่างท่า Plank, Pushups, Squats เป็นต้น
– รับประทานอาหารให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน เช่น วิตามิน เกลือแร่  โปรตีน หรือเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคุณภาพ
– รับประทานสารสกัดจากดอกคำฝอยที่มีสาร Conjugated Linoleic Acid (CLA) ที่มีคุณประโยชน์ช่วยรักษาและเพิ่มการเผาผลาญของมวลกล้ามเนื้อ

2. รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา และชอบรับประทานอาหารมื้อหนัก            

โดยปกติร่างการคนเราจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อย่อยอาหาร คนส่วนใหญ่ทานอาหารมื้อใหญ่ สังสรรค์ ตอนมื้อค่ำ แถมเป็นการกินเกินที่มากมายล่วงหน้า แคลอรี่เท่ากับกิน 2-3 วันเลยทีเดียว กลับถึงบ้านก็นอนเลย ทิ้งระยะเวลาจากการกินไม่ถึง 4 ชั่วโมง ร่างกายไม่ทันได้เผาผลาญหมด ร่างกายก็จะทำการเปลี่ยนพลังงานเป็นไขมันนำไปเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

คำแนะนำเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ
– รับประทานมื้อเช้า ช่วงเวลา 6.00-7.00 น.
– รับประทานมื้อเที่ยง ช่วงเวลา 12.00-13.00 น. (ให้เลยเวลาได้เต็มที่ไม่เกิน 15.00 น. )
– รับประทานมื้อเย็น ช่วงเวลา 17.00-18.00 น. (ให้เลยเวลาได้เต็มที่ไม่เกิน 19.00 น. )
– ถ้าจะทานมื้อหนัก เป็นไปได้ให้เปลี่ยนจากมื้อค่ำมาเป็นมื้อเที่ยงแทน เพราะอย่างน้อยกว่าที่เราจะเข้านอนร่างกายก็เผาผลาญพลังงานไปได้เยอะแล้ว ถ้าเหลือก็น้อยลงมากแล้ว
– รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ห้ามอดอาหารหรืองดมื้ออาหาร

(ช่วงเวลารับประทานอาหาร แต่ละมื้อจะห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมง)

3. กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างวันน้อยลง

กิจกรรมระหว่างวัน จะเผาผลาญพลังงาน 25-35 % เลยทีเดียว เพราะฉนั้นถ้าในแต่ละวันการเคลื่อนไหวของเราน้อยลง การเผาผลาญพลังงานก็น้อยลงไปด้วยเช่นกัน แล้วในปัจจุบันสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ลิฟท์ บันไดเลื่อน รถยนต์ เป็นตัวผ่อนแรงทำให้เราใช้แรงน้อยลง การเผาผลาญก็น้อยลงด้วย คนในปัจจุบันจึงอ้วนถึง 1 ใน 3 คน หากเราลองมองไปรอบๆ ตัว ซึ่งเราอาจจะเป็น 1 ใน 3 ที่อ้วนก็ได้ แล้วจะะทำยังไงล่ะ!!!

คำแนะนำเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ
– พยายามเดินให้ได้มากกว่า 10,000 ก้าวต่อวัน !!!
– ลุกขึ้นเดินจากโต๊ะทำงานสัก 5 นาที ทุกๆ 1 หรือ 2 ชั่วโมง
– ใช้การเดินขึ้นลงทางบันได แทนการใช้ลิฟท์

4. ความเครียดสูง

ในสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน (พ.ศ.2559) ที่มีการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงแปรผัน อย่างรวดเร็ว ไม่แปลกที่ผู้คนจะมีความเครียดทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเครียดเพิ่มสูง แก้ความเครียดด้วยการกิน กิน กิน จนสุดท้ายระบบการเผาผลาญเสียหาย

คำแนะนำเพื่อลดความเครียดเพิ่มการเผาผลาญ
– ลดความเครียดด้วยการออกกำลัง เล่นกีฬา
– นั่งสมาธิ ไม่ต้องมากแค่ 5 นาทีก็พอ
– สูดหายใจลึกๆ กลั้นหายใจ แล้วหายใจออกสัก 7-10 ครั้ง
– ฝึกปล่อยวาง ทำใจ อะไรจะเกิดก็เกิด พูดคำว่า “ช่างมันเถอะ” “ปล่อยมันไป”

5. รับประทานอาหารแป้ง-น้ำตาลสูง และอาหารสำเร็จรูป

ถ้าเราสังเกตุดู จะเห็นว่าปัจจุบันอาหารส่วนใหญ่เป็นพวกแป้งและน้ำตาลสูง และอาหารสำเร็จรูป ด้วยวิถีชีวิตที่รีบเร่งของปัจจุบัน ขอนำเสนอข้อมูลจากหนังสือ “ผอมได้ ไม่ต้องอด” ของแพทย์หญิงธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล

“ดร. เดวิด เคสเลอร์ ได้ เราถึงงานวิจัยกว่าเจ็ดปีของเค้าในหนังสือชื่อ The End of Overeating ว่า “ปัญหาอ้วนของคนในปัจจุบันเกิดจากการติดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เกลือสูง และไขมันสูง” เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความรื่นรมย์ในสมอง มีลักษณะเหมือนการได้รับรางวัล (Rewarding Process) ส่งผลให้หยุดรับประทานไม่ได้และโหยหาที่จะรับประทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทผู้ผลิตอาหารทราบถึงกลไกเหล่านี้ดี ผู้ผลิตอาหารในปัจจุบันจึงมีความตั้งใจที่จะใส่น้ำตาลและน้ำมันปริมาณมากลงในอาหาร ไม่เพียงเพื่อเพิ่มรสชาติให้ถูกปาก แต่ยังเป็นการกระตุ้นกลไกในสมองเพื่อให้เราติดใจโดยไม่รู้ตัว หรือพูดง่ายง่ายว่าตั้งใจให้เราเสพติดอาหารที่พวกเขาขายนั่นเอง เมื่อทราบกลลวงของผู้ผลิตอาหารแล้ว เราจะทำอย่างไรให้เลิกเสพติดกันดี”

การเสพติดอาหาร กินมากเกินไปทำให้การเผาผลาญของเราเสียหายลดลง สุดท้ายเราก็อ้วน!

คำแนะนำเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ
– ค่อยๆ ลดการกินอาหารแป้ง-น้ำตาล อาหารสำเร็จรูปลง เช่น เคยกินทุกวัน ก็เป็นวันเว้นวัน แล้วค่อยๆ เว้นช่วงห่างออกไปเรื่อยๆ เป็นต้น
– 50-50 คือ เคยกินข้าวขาวก็เปลี่ยนเป็น ข้าวขาวครึ่งจาน อีกครึ่งจานเป็นข้าวกล้อง หรือกินข้าวขาวน้อยลงจาก 2 จานเป็น 1 จาน เป็นต้น
– ถ้าเสพติดขนาดหนัก อาจต้องมีวันปลดปล่อยสักวันใน 1 อาทิตย์ มื้อปลดปล่อยที่ดีที่สุดคือเป็น มื้อเช้า และมื้อเที่ยง
– อย่าเข้มงวดจนเกินไปจนทนไม่ไหว ให้ค่อยๆ ลด ค่อยๆ ทำใจร่มๆ
– สั่งเครื่องดื่ม เข่น ชา กาแฟ ให้พูดว่า “หวานน้อยนะคะ” “ไม่ใส่วิปครีมครับ”

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line ID : @chavanut และ IG: chavy212

ควบคุมอาหารหรืออาหารทดแทน วิธีไหนได้ผลดีกว่ากัน ?

          มีผลการวิจัยที่เด่นชัดที่สุดที่ทำโดย Dr. Herwig Ditschuneit ที่ University of Ulm ใน Germany โดยเก็บข้อมูลนานกว่า 4 ปี การวิจัยนี้ได้แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม

          กลุ่มแรก ให้ทานอาหารปกติ แต่ทานน้อยลง โดยลดแคลอรี่ของอาหารที่ทานให้เหลือประมาณ 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน

          กลุ่มที่สอง ทานอาหารทดแทน ในรูปแบบของของเหลวทดแทนอาหาร 2 มื้อแล้วก็ทานอาหารปกติ 1 มื้อ โดยได้พลังงานประมาณ 1,200 กิโลแคลอรีต่อวันเท่ากัน ผลหลังจากผ่านไป 12 สัปดาห์เป็นดังนี้

          กลุ่มแรกที่ใช้วิธีควบคุมอาหาร สามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยเพียง 1 – 2 ปอนด์ (0.45 – 0.9 kg) เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มหลังที่ทานอาหารทดแทนสามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยสูงถึง 14 ปอนด์ (6.3 kg)

หลังจากนั้นก็เก็บข้อมูลต่อเนื่องไปจนครบ 4 ปี แล้วเปรียบเทียบในด้านของผลดีต่อโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับความอ้วน เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอล ความดัน กลุ่มที่ทานอาหารทดแทนวันละ 2 มื้อมีระดับน้ำตาลในเลือดและตัวเลขอื่นๆ ในด้านสุขภาพ ที่ดีกว่ากลุ่มแรกอย่างมากมาย

          สรุปก็คือ การทานอาหารทดแทนเพื่อลดน้ำหนัก สามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า ควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า และมีสุขภาพที่ดีกว่าการพยายามควบคุมอาหารด้วยตนเอง ข้อมูลและสถิติเหล่านี้ UCLA ได้นำมาวิเคราะห์ซ้ำอีกครั้ง และได้ตีพิมพ์ลงใน American Journal of Clinical Nutrition (วารสารทางการแพทย์)

จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของอาหารทดแทน ก็คือ ช่วยให้เราสามารถลดน้ำหนักให้สอดคล้องกับหลักการที่แพทย์แนะนำได้ง่ายขึ้น เพราะอาหารทดแทนเหล่านี้มักจะมีการแสดงปริมาณสารอาหารและปริมาณพลังงานเอาไว้ ทำให้เราสามารถควบคุมปริมาณพลังงานที่เราจะทานในแต่ละวัน ให้ได้ประมาณ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรีได้ง่ายขึ้น และการที่อาหารทดแทนให้สารอาหารที่ครบถ้วน ก็ทำให้เรารู้สึกหิวน้อย (หรือไม่หิวเลย) ซึ่งจะทำให้การควบคุมปริมาณอาหาร เป็นเรื่องง่ายขึ้น

ด้วยหลักการดังกล่าว เราก็จะสามารถลดน้ำหนักลงได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่ส่งผลทำให้การเผาผลาญของร่างกายเราลดลง (และอาจช่วยปรับปรุงระดับการเผาผลาญที่เสียไปให้ดีขึ้น) ซึ่งทำให้ไม่มีโยโย่นั่นเอง

          เราสามารถสรุปได้ว่า อาหารทดแทน (ที่ดีพอ) จะช่วยให้เราลดน้ำหนักตามหลักการที่แพทย์แนะนำได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยขึ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม อาหารทดแทนไม่ได้ช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ทุกยี่ห้อ อาหารทดแทนที่จะลดน้ำหนักได้ผลดีก็คือ อาหารทดแทนที่เมื่อเราทานแล้วเราได้พลังงานประมาณ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน โดยที่ได้สารอาหารครบ 5 หมู่และได้ปริมาณโปรตีนเพียงพอ ไม่ว่าอาหารทดแทนยี่ห้อไหนก็ตามที่สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว เราก็สามารถที่จะทานเพื่อลดน้ำหนักลงได้

สำหรับหลักการเบื้องต้นในการเลือกยี่ห้อของอาหารทดแทน

อย่างแรกก็คือความปลอดภัย เพราะอาหารเป็นสิ่งที่เราต้องทานเข้าไปจึงควรจะได้ อย. ด้วย (ยิ่งได้ อย. ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสความปลอดภัยมากขึ้น) และ อย. ยังทำให้เรามั่นใจได้ว่า อาหารนั้นปลอดภัยกว่าอาหารตามสั่งที่เราทาน (เช่น ส้มตำที่ไม่ได้ อย. และไปขอก็ไม่น่าจะได้)

อย่างที่สองก็คือ จะต้องให้สารอาหารที่ครบถ้วน 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม ได้ปริมาณโปรตีนมากพอ (ทานแล้วต้องไม่หิว) และให้พลังงานประมาณ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน

อย่างที่สามก็คือ อาหารทดแทนส่วนใหญ่จะรับประกันความพอใจ หากเราทานแล้วไม่ได้ผล ก็สามารถคืนเงินได้เต็มจำนวน (เท่าราคาที่ซื้อมา) จึงเป็นการลงทุนที่เสียงน้อยหากเราเลือกซื้อยี่ห้อที่มีการรับประกันคืนเงิน ฉะนั้นตอนซื้อให้ลองถามว่ายินดีคืนเงินหรือไม่ (แต่ถ้าจะลองทานเล่นๆเพราะคืนเงินได้ก็อย่าดีกว่า เพราะจะเสียเวลา เสียสุขภาพจิต)

ที่มาข้อมูล : “ถ้ารู้…คงผอมไปนานแล้ว” โดย โรสแมรี่

เพิ่มเติม : จากประสบการณ์ของผมเองซึ่งได้ใช้มาแล้วทั้ง 2 วิธี คือ ควบคุมอาหารด้วยตัวเอง กับใช้อาหารทดแทน สรุปผลได้ตรงกับผลการทดลองในข้อมูลที่ได้อ่านมาข้างต้น โดย ควบคุมอาหาร 1 เดือน ผมลดได้แค่ 1 กก. ส่วนการกินอาหารทดแทน 1 เดือนผมลดไปได้ถึง 6 กก.

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line ID : @chavanut และ IG: chavy212

อาหารทอดหรือผัดเลือกจานไหนดี ?

สำหรับคนที่กำลังอยู่ในช่วงลดหรือควบคุมน้ำหนักแล้วนั้น การเลือกอาหารเข้าปากสำคัญมาก เพราะ “สิ่งที่คุณเอาเข้าปาก จะเป็นตัวกำหนดรูปร่างของคุณ” อาหารในชีวิตประจำวันของคนไทยโดยทั่วไปส่วนมากก็หนีไม่พ้น “ทอดกับผัด”

อาหารทอด เช่น ไก่ทอด หมูทอดกระเทียม ปาท่องโก๋ ลูกชิ้นปลากรายทอด ลาบทอด เฟรนซ์ฟราย หอยทอด ฯลฯ

Processed with MOLDIV

อาหารทอด

อาหารผัด เช่น ผัดผักรวม ผัดคะน้าหมูกรอบ ผัดไทย ผัดซีอิ้ว ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ผัดผักบุ้งไฟแดง ฯลฯ

Processed with MOLDIV

อาหารผัด

ดูทั้งสองประเภทอาหารแล้ว ไม่ว่าจะทอดหรือผัด ก็ไม่เหมาะสำหรับคนลดหรือควบคุมน้ำหนักทั้งนั้นแหละ แต่ก็นะ ในชีวิตประจำวันบางครั้งก็หลีกเลี่ยงได้ยาก ถามว่า “ถ้าให้เลือกกินระหว่างทอดกับผัด เราควรเลือกสิ่งไหน ?”

ตอบแบบมีเงื่อนไขว่า ถ้าจำเป็นต้องเลือกระหว่างทอดกับผัด ขอตอบว่า……. เพื่อสุขภาพ “เลือกอาหารผัดครับ และควรเลี่ยงอาหารทอด”

เหตุผลที่ควรเลี่ยงอาหารทอด ยิ่งโดยเฉพาะ อาหารทอดในน้ำมันลอย เช่น ปาท่องโก๋ ขนมแป้งทอด เฟรนซ์ฟรายเป็นต้น อาหารทอดในน้ำมันลอย คือ อาหารที่ขณะทอดน้ำมันจะเยอะมาก พอใส่อาหารไปจะจมท่วมอาหาร พอสุกก็จะลอยขึ้นมา อาหารแบบนี้น้ำมันจะเยอะมาก แถมถ้าเป็นน้ำมันที่ทอดหลายๆ ครั้ง ก็บวกสารก่อมะเร็งเข้าไปอีก แคลอรี่ก็สูงเพราะมันจมน้ำมันขณะทอดอมน้ำมันเต็ม ๆ (น้ำมัน 1 กรัมเท่ากับ 9 แคลอรี่ มากกว่าแป้งซึ่งแป้งเท่ากับ 4 แคลอรี่)

ส่วนอาหารผัด เรายังสามารถควบคุมปริมาณน้ำมันได้ หรือขณะที่เราสั่งกับข้าวราดข้าวก็บอกแม่ค้าไปว่า น้ำมันในถาดไม่ต้องตักราดมา เอาเฉพาะตัวอาหารจริงๆ พอ แค่นี้เราก็พอที่จะลดปริมาณน้ำมันได้ครับ เพื่อสุขภาพรูปร่างของเรา

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะทอดหรือผัดก็ควรหลีกเลี่ยงสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักอยู่ แต่ถ้าจำเป็นต้องเลือกก็ ขอให้เลือกอย่างฉลาดนะครับ “ตกลงว่าจะรับทอดหรือผัดดี?”

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line ID : @chavanut และ IG: chavy212

ลดน้ำหนักกับโปเกมอน สนุก สุขภาพดี อินเทรนด์!

เก็บได้กี่ตัวแล้ว ? อยู่เวลไหนแล้ว ? แถวไหนมีโปเกมอนให้จับเยอะๆ ? ช่วงนี้ทั้งประเทศไทยมีกิจกรรมระดับประเทศคือ เล่นเกมส์จับโปเกมอน ปกติผมเป็นคนที่ไม่เล่นเกมส์อะไรพวกนี้ ในมือถือแทบไม่มีเกมส์เลย มีก็แค่ถอดไพ่ Solitaire เอาไว้เล่นเพลินๆ ผ่อนคลาย เจอกระแสคลื่นโปเกมอนจนต้องโหลดมาลองเล่นดู ไม่งั้นคุยกับคนอื่นไม่ได้เลย เพราะเขาคุยกันแต่เรื่องจับโปเกมอน ก็มีหลายคนที่บอกว่า ปัญญาอ่อนเล่นทำไมเสียเวลา เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กับชีวิตดีกว่า สร้างอนาคตก่อนดีมั๊ย ? (จริงจังกับชีวิตมาก เครียดไปป่าว!)

แต่พอลองเล่น เอ่อ! ก็หนุกดีนะ แล้วมันจะเอาไปช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร ? จากการเป็นโค้ชลดน้ำหนักให้กับเพื่อนๆ และคนที่อยากลดน้ำหนัก นอกจากการควบคุมแคลอรี่ที่กินเข้าไปแล้ว การใช้หรือเบิร์นแคลอรี่ออกไปก็สำคัญเช่นกัน ผมพบว่าคนที่อ้วนมักจะมีค่ากิจกรรมต่ำมากๆ ชอบอยู่นิ่ง ใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ทุ่นแรงทุกอย่างเท่าที่มี พูดง่ายๆ อะไรที่ใช้แรง ฉันไม่เอา เหนื่อย ไม่ชอบ ไม่ทำ ไม่หนุกหนาน เบื่อ ฯลฯ

คนส่วนใหญ่ชอบทำสิ่งที่รู้สึกว่า ทำแล้วสนุก ได้โชว์ ได้อวดเพื่อนๆ อยู่ในโลกโซเชียล คุยเรื่องเดียวกัน ทำเรื่องเดียวกัน สรุปก็เป็นพวกเดียวกันถึงคุยกันรู้เรื่อง ผมว่านี่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งว่าทำไมเกมส์ Pokemon Go ถึงเป็นกระแสที่แรงมากๆ ช่วงนี้ครับ แล้วการเล่นโปเกมอนมันต้องออกเดินไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อจับตัวโปเกมอนแต่ละแบบ สะสมบอล หาไข่ ฟักไข่ จุดนี้ละครับที่จะเอามาใช้ในการลดน้ำหนัก

กิจกรรมการลดน้ำหนักเพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดี ถ้าไม่ออกกำลังก็ควรเดินให้ได้วันละอย่างน้อย 10,000 ก้าว มีข้อมูลยืนยันว่า “การเดินวันละ 10,000 ก้าวช่วยลดไขมัน เผาผลาญแคลอรี่ และสุขภาพจะดีขึ้น” จากประสบการณ์ที่ได้โค้ชลดน้ำหนักมา คนส่วนใหญ่จะเดินแค่วันละ 3,000-4,000 ก้าวเท่านั้นโดยประมาณ  ก็เดินแค่เช้าเดินเข้าที่ทำงาน เที่ยงเดินไปกินข้าว (ร้านใกล้ๆ ที่ทำงาน) เย็นก็เดินไปขึ้นรถเมล์หรือขับรถกลับบ้าน ก็ดังเหตุผลที่ผมบอกละครับ เลยทำให้การเผาผลาญแคลอรี่ของเราน้อยกว่า แคลอรี่จากอาหารที่กิน เกิดการสะสมไขมัน เราก็จะค่อยๆ น้ำหนักเพิ่มขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย จนโรคอ้วนมาเยือนเราในที่สุด

แต่ถ้าเราเล่นเกมส์โปเกมอน แล้วเดินเก็บโปเกมอนไปยังที่ต่าง ๆ สนุกด้วย ลืมไปเลยว่าเดินไปไกลเท่าไหร่แล้ว แบบว่า เห็นตัวโปเกมอนกระโดดท้าทาย หยอง หยอง ไม่ได้ต้องจัดการเก็บซะ สนุกจนลืมเหนื่อยไปเลย ผมเนี่ย! พอเที่ยงปั๊บ! รีบลุกออกจากโต๊ะทำงานทันทีเลย เดินออกไปนอกที่ทำงานเก็บโปเกมอน ก่อนหาร้านกินข้าว พอกินเสร็จก็ไม่รีบกลับเดินหาโปเกมอนอีกพักนึง เดินออกกำลังแบบเต็ม ๆ เก็บเช้า เที่ยง และเย็น รับรองเกิน 10,000 ก้าวแน่นอน แบบเพลินๆ เลยครับ

ถ้าเราไม่รู้ว่าเราเดินไปเท่าไหร่ ? สบายมากครับให้ โหลดแอพ Moves  มาไว้บนสมาร์ทโฟน แอพนี้สามารถบอกเราได้ว่า

  • Steps หรือจำนวนก้าวเดินของเรา ว่าเราเดินไปเท่าไหร่ ? ก็เอาให้ทะลุ 10,000 ทุกวันนะครับ
  • Distance ระยะทางที่เราเดินเป็นกิโลเมตร
  • Time บอกเวลาว่าเดินกี่นาที
  • Calories บอกว่าที่เราเดิน เผาผลาญไปกี่ แคลอรี่
  • Time line บอกสถานที่ที่เราไปว่าเป็นที่ไหนบ้าง ? เดิน วิ่ง หรือขับรถไป
Processed with MOLDIV

แอพ Moves

อีกวิธีนึงที่จะนับก้าวก็คือ ใช้สายรัดข้อมือ เช่น สายรัดข้อมือ Inbody เป็นตัวนับก้าวให้ครบ 10,000 ก้าว แถมสายรัดตัวนี้ยังสามารถวัดมวลกล้ามเนื้อ ไขมัน ได้ด้วยซึ่งเป็นสายรัดข้อมือยี่ห้อเดียวในปัจจุบันนี้ที่ทำได้ ทำให้เราสามารถลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้นและลดได้จริง ๆ สายรัดข้อมือ Inbody ต้องใช้คู่กับแอพ Inbody บนสมาร์ทโฟนด้วย อย่าลืมโหลดล่ะครับ

Processed with MOLDIV

สายรัดข้อมือ Inbody

เป็นไงครับ สนุกด้วย เบิร์นแคลอรี่ไปด้วย เพื่อนๆ ผมที่ตอนแรกทำยังไงก็เดินก้าวไม่ถึง 10,000 ก้าวสักที ประทานโทษนะครับตอนนี้เดินทะลุ 10,000 ก้าวไป ก็เพราะเดินเก็บโปเกมอนนี่ละครับ แต่ก็แบ่งเวลาเล่นดีๆ อย่าให้เสียงานที่ทำนะครับ และระมัดระวังการเดินเล่นในบางพื้นที่ อาจจะเดินชนเสาไฟ ตกท่อ ออกถนน ระมัดระวังด้วยครับ ตอนนี้ขอตัวไปเก็บโปเกมอนก่อนนะครับ เลิกงานแล้ว แต่น แต๊น โปเกมอนจ๋า อยู่ไหน มามะ มาให้จับซะดีๆ

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line ID : @chavanut และ IG: chavy212