มีผลการวิจัยที่เด่นชัดที่สุดที่ทำโดย Dr. Herwig Ditschuneit ที่ University of Ulm ใน Germany โดยเก็บข้อมูลนานกว่า 4 ปี การวิจัยนี้ได้แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก ให้ทานอาหารปกติ แต่ทานน้อยลง โดยลดแคลอรี่ของอาหารที่ทานให้เหลือประมาณ 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน
กลุ่มที่สอง ทานอาหารทดแทน ในรูปแบบของของเหลวทดแทนอาหาร 2 มื้อแล้วก็ทานอาหารปกติ 1 มื้อ โดยได้พลังงานประมาณ 1,200 กิโลแคลอรีต่อวันเท่ากัน ผลหลังจากผ่านไป 12 สัปดาห์เป็นดังนี้
กลุ่มแรกที่ใช้วิธีควบคุมอาหาร สามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยเพียง 1 – 2 ปอนด์ (0.45 – 0.9 kg) เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มหลังที่ทานอาหารทดแทนสามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยสูงถึง 14 ปอนด์ (6.3 kg)
หลังจากนั้นก็เก็บข้อมูลต่อเนื่องไปจนครบ 4 ปี แล้วเปรียบเทียบในด้านของผลดีต่อโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับความอ้วน เช่น ระดับน้ำตาลในเลือด คอเลสเตอรอล ความดัน กลุ่มที่ทานอาหารทดแทนวันละ 2 มื้อมีระดับน้ำตาลในเลือดและตัวเลขอื่นๆ ในด้านสุขภาพ ที่ดีกว่ากลุ่มแรกอย่างมากมาย
สรุปก็คือ การทานอาหารทดแทนเพื่อลดน้ำหนัก สามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า ควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า และมีสุขภาพที่ดีกว่าการพยายามควบคุมอาหารด้วยตนเอง ข้อมูลและสถิติเหล่านี้ UCLA ได้นำมาวิเคราะห์ซ้ำอีกครั้ง และได้ตีพิมพ์ลงใน American Journal of Clinical Nutrition (วารสารทางการแพทย์)
จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของอาหารทดแทน ก็คือ ช่วยให้เราสามารถลดน้ำหนักให้สอดคล้องกับหลักการที่แพทย์แนะนำได้ง่ายขึ้น เพราะอาหารทดแทนเหล่านี้มักจะมีการแสดงปริมาณสารอาหารและปริมาณพลังงานเอาไว้ ทำให้เราสามารถควบคุมปริมาณพลังงานที่เราจะทานในแต่ละวัน ให้ได้ประมาณ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรีได้ง่ายขึ้น และการที่อาหารทดแทนให้สารอาหารที่ครบถ้วน ก็ทำให้เรารู้สึกหิวน้อย (หรือไม่หิวเลย) ซึ่งจะทำให้การควบคุมปริมาณอาหาร เป็นเรื่องง่ายขึ้น
ด้วยหลักการดังกล่าว เราก็จะสามารถลดน้ำหนักลงได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่ส่งผลทำให้การเผาผลาญของร่างกายเราลดลง (และอาจช่วยปรับปรุงระดับการเผาผลาญที่เสียไปให้ดีขึ้น) ซึ่งทำให้ไม่มีโยโย่นั่นเอง
เราสามารถสรุปได้ว่า อาหารทดแทน (ที่ดีพอ) จะช่วยให้เราลดน้ำหนักตามหลักการที่แพทย์แนะนำได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยขึ้นนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม อาหารทดแทนไม่ได้ช่วยให้เราลดน้ำหนักได้ทุกยี่ห้อ อาหารทดแทนที่จะลดน้ำหนักได้ผลดีก็คือ อาหารทดแทนที่เมื่อเราทานแล้วเราได้พลังงานประมาณ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน โดยที่ได้สารอาหารครบ 5 หมู่และได้ปริมาณโปรตีนเพียงพอ ไม่ว่าอาหารทดแทนยี่ห้อไหนก็ตามที่สอดคล้องกับหลักการดังกล่าว เราก็สามารถที่จะทานเพื่อลดน้ำหนักลงได้
สำหรับหลักการเบื้องต้นในการเลือกยี่ห้อของอาหารทดแทน
อย่างแรกก็คือความปลอดภัย เพราะอาหารเป็นสิ่งที่เราต้องทานเข้าไปจึงควรจะได้ อย. ด้วย (ยิ่งได้ อย. ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสความปลอดภัยมากขึ้น) และ อย. ยังทำให้เรามั่นใจได้ว่า อาหารนั้นปลอดภัยกว่าอาหารตามสั่งที่เราทาน (เช่น ส้มตำที่ไม่ได้ อย. และไปขอก็ไม่น่าจะได้)
อย่างที่สองก็คือ จะต้องให้สารอาหารที่ครบถ้วน 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม ได้ปริมาณโปรตีนมากพอ (ทานแล้วต้องไม่หิว) และให้พลังงานประมาณ 1,000 – 1,200 กิโลแคลอรีต่อวัน
อย่างที่สามก็คือ อาหารทดแทนส่วนใหญ่จะรับประกันความพอใจ หากเราทานแล้วไม่ได้ผล ก็สามารถคืนเงินได้เต็มจำนวน (เท่าราคาที่ซื้อมา) จึงเป็นการลงทุนที่เสียงน้อยหากเราเลือกซื้อยี่ห้อที่มีการรับประกันคืนเงิน ฉะนั้นตอนซื้อให้ลองถามว่ายินดีคืนเงินหรือไม่ (แต่ถ้าจะลองทานเล่นๆเพราะคืนเงินได้ก็อย่าดีกว่า เพราะจะเสียเวลา เสียสุขภาพจิต)
ที่มาข้อมูล : “ถ้ารู้…คงผอมไปนานแล้ว” โดย โรสแมรี่
เพิ่มเติม : จากประสบการณ์ของผมเองซึ่งได้ใช้มาแล้วทั้ง 2 วิธี คือ ควบคุมอาหารด้วยตัวเอง กับใช้อาหารทดแทน สรุปผลได้ตรงกับผลการทดลองในข้อมูลที่ได้อ่านมาข้างต้น โดย ควบคุมอาหาร 1 เดือน ผมลดได้แค่ 1 กก. ส่วนการกินอาหารทดแทน 1 เดือนผมลดไปได้ถึง 6 กก.
เป็นเพื่อนแชทพูดคุยสอบถามกันได้ที่ Line ID : @chavanut และ IG: chavy212