สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์ EP.2

มาต่อกันใน EP. 2 เกี่ยวกับสารอาหารสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเรา พร้อมรับในทุกสถานการณ์ ใน EP. 1 เราได้รู้จักกันไป 3 สารอาหารด้วยกัน ส่วนใน EP. นี้ จัดไปอีก 3 สารอาหารด้วยกันครับ เริ่มกันเลยดีกว่า

ไฟโตนิวเทรียนท์

ไฟโตนิวเทรียนท์ ต้านอนุมูลอิสระ สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

กลุ่มสารอาหารไฟโตนิวเทรียนท์ที่ได้จากผักผลไม้ 5 สี มีผลดีต่อสุขภาพมากมาย อาทิ

  1. สีแดง ให้ไลโคปีน กรดเอลลาจิก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสุขภาพต่อมลูกหมาก สุขภาพดีเอ็นเอ เสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
  2. สีเหลือง/ส้ม ให้เบต้า-แคโรทีน เฮสเพอริดิน ช่วยปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ เสริมการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน เสริมสุขภาพดวงตา รักษาความชุ่มชื้นของผิว ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายอย่างสมบูรณ์แข็งแรง
  3. สีเขียว ให้อีจีซีจี ลูทีน/ซีแซนทิน ไอโซฟลาโวน ไอโซไธโอไซยาเนท ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสุขภาพของเซลล์ สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง สุขภาพปอด และส่งเสริมการทำงานของตับ
  4. สีม่วง/น้ำเงิน ให้แอนโธไซยานิน เรสเวอราทรอล ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยระบบความจำ ช่วยสุขภาพหัวใจ สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง
  5. สีขาว ให้อัลลิซิน เควอซิทิน ช่วยเสริมสุขภาพกระดูก เสริมสุขภาพการไหลเวียนโลหิต สนับสนุนการทำงานของหลอดเลือดแดง

สรรพคุณของไฟโตนิวเทรียนท์

  1. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant)
  2. ช่วยป้องกันโรคติดต่อไม่เรื้อรังต่างๆ (NCDs)
  3. ช่วยต้านภาวะการอักเสบเรื้อรัง หรือมะเร็ง
  4. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  5. ช่วยลดความดันโลหิต และลดไขมันมันในเลือด
  6. ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมถึงต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
  7. ช่วยป้องกันสมองเสื่อม

กระเทียม

กระเทียม เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

สรรพคุณของกระเทียม

  1. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
  2. เป็นพืชที่มีซิลิเนียมสูงกว่าพืชชนิดอื่น ๆ เป็นแร่ธาตุท่ีร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อย แต่มีความสำคัญในร่างกายของมนุษย์และสัตว์ สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ ตับ ไต ซีลีเนียม เป็นส่วนประกอบของโปรตีน เรียกว่า ซีลีโนโปรตีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ ช่วยปกป้องร่างกายจากโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  3. มีสารอะดิโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์ในร่างกาย
  4. ช่วยลดคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด
  5. ช่วยรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  6. ช่วยในการขับลม
  7. ช่วยแก้อาการหอบ หืด
  8. ช่วยในการขับเหงื่อ
  9. ช่วยควบคุมโรคกระเพาะ ด้วยสารที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้กระเทียม

  1. กระเทียมยิ่งสดเท่าไหร่ก็ยิ่งมีสรรพคุณที่ดีมากขึ้นเท่านั้น
  2. วิตามินและแร่ธาตุที่อยู่ในกระเทียม จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับดินและสภาพอากาศที่ใช้เพาะปลูก
  3. สำหรับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีอาการเลือดหยุดไหลช้า รวมไปถึงผู้ใช้ยาอื่นๆเป็นประจำ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาต้านไวรัส ไม่ควรทานกระเทียมหรือผลิตภัณฑ์กระเทียมเสริมในปริมาณที่มากจนเกินไป

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เพิ่มความสามารถให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้

สรรพคุณของโคเอ็นไซม์ คิวเท็น

  1. ช่วยป้องกันความดันโลหิตสูง โคเอ็นไซม์ คิวเท็น 33.3 มก. สามารถช่วยลดความดันทั้งค่าบน และค่าล่างได้
  2. ช่วยป้องกันมะเร็ง โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยต่อต้านมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
  3. ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สูงขึ้น โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เพิ่มสาร Antibody ได้และเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรค
  4. ช่วยเกี่ยวกับโรคพาร์คินสัน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยลดความผิดปกติของไมโตคอนเดรียที่พบในโรคพาร์คินสันได้ ช่วยให้อาการโรคพาร์คินสันลดลง
    • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น 360 มก.ต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ช่วยลดความผิดปกติทางสายตาและอาการอื่นๆ ในคนที่เป็นโรคพาร์คินสันได้
    • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น 300-1,200 มก.ต่อวัน ป้องกันหรือลดอาการในผู้ป่วยพาร์คินสันให้ดีขึ้น
  5. โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยชะลอการพัฒนาของโรคอัลไซเมอร์ได้
  6. โคเอ็นไซม์ คิวเท็น กับสุขภาพของหัวใจ โดยหัวใจของเรานั้น เต้นเฉลี่ยถึง 100,000 ครั้งต่อวัน ทุกๆ วัน ตลอดชีวิต ไม่มีหยุดพักผ่อน ไม่ลาหยุดพักร้อน หัวใจจึงต้องการพลังงานที่คงที่ เพื่อให้เต้นได้อย่างสม่ำเสมอ
  7. หัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่ง ภาวะที่รุนแรงที่สุด หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” สามารถลดอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวได้ และยังมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์อเมริกา (American Journal of Therapeutics) ระบุว่า “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถเพิ่มการส่งเลือดออกจากหัวใจได้มากกว่า 15.7% และเพิ่มระยะเวลาในการออกกำลังกายได้มากขึ้น 25.4%
  8. โรคหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี สาเหตุหัวใจล้มเหลว และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของมนุษย์ เกิดจากการสะสมของไขมันโดยตรงบนผนังหลอดเลือด หรือภาวะหลอดเลือดแข็งตัว “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” ลดการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โดยจำกัดปริมาณไขมันที่จะไปสะสมบนผนังหลอดเลือด
  9. เสริมวิตามินอี ร่วมกับโคเอ็นไซม์ คิวเท็น เพิ่มการป้องกันภาวะหลอดเลือดอุดตันได้มากกว่าการได้รับเพียงอย่างเดียว
  10. โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถลดแผลบนผนังหลอดเลือดได้ และลดการขยายตัวของโรคหลอดเลือดอุดตัน
  11. โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ลดการเกิดออกซิเดชั่นของ LDL คอเลสเตอรอลตัวไม่ดี ลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในเลือด และเพิ่ม HDL คอเลสเตอรอลตัวดีได้
  12. อาการปวดเค้นหน้าอก  มีหลายรายงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ และในวารสารโรคหัวใจของอเมริกา (American Journal of Cardiology) ระบุว่า “ผู้ที่เคยรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถลดโอกาสการเกิดอาการปวดเค้นหน้าอกได้”
  13. เพิ่มขีดความสามารถ โดยทำให้เรา “ออกกำลังกายได้นานขึ้นด้วย”

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้โคเอ็นไซม์ คิวเท็น

  1. ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มีความต้องการเท่ากัน
  2. สำหรับคนที่มีสุขภาพดี ต้องการ 20-30 มิลลิกรัม ต่อวัน
  3. สำหรับคนที่มีสุขภาพไม่ดี ต้องการ 20-150 มิลลิกรัม ต่อวัน มากกว่าคนที่มีสุขภาพดี
  4. ควรกินร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เพราะละลายได้ดีในไขมัน ทำให้ดูดซึมไปใช้งานได้ดีขึ้น
  5. โคเอ็นไซม์ คิวเท็นนั้น มีความปลอดภัยสูง โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ที่รุนแรง จากงานวิจัย มีการบริโภคปริมาณสูงถึง 300-600 มิลลิกรัม ต่อวัน อาจจะมีแค่อาการคลื่นไส้ไม่สบายท้องเท่านั้นเอง

จะเห็นได้ว่าสารอาหารดี สารอาหารครบช่วยเราลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่าง โดยเฉพาะในยุคโควิด การสร้างภูมิต้านทานให้กับตัวเอง เป็นเหมือนเกราะคุ้มกันตัวเองด่านสุดท้ายที่ดีที่สุด

Cr. : ข้อมูลบางส่วนจาก เวปไซท์ นิวทริไลท์

About Link : สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์ EP.1

คลิกลิงค์ สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์ EP.1

          จากในสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันนี้ มันกำลังบอกว่า “อ่อนแอก็แพ้ไป” เหมือนโลกกะลังจัดระเบียบชีวิตของมนุษย์ใหม่ที่เราเรียกกันว่า New Normal แบบใช้มาตรการรุนแรงกันเลยทีเดียวเชียว พลันทำให้นึกถึงประโยคหนึ่งของชายคนนี้

ชาลส์ โรเบิร์ต ดาวินส์ (Charles Darwin) เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ทำการปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต และเสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และหลักการพื้นฐานของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เคยกล่าวไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วว่า…..

“ไม่ใช่สายพันธุ์ ที่ฉลาดหรือแข็งแกร่งที่สุดที่อยู่รอด หากแต่เป็นการปรับตัว

การปรับตัวใช่มั๊ย? ที่ทำให้เราอยู่รอดต่อไปได้ในโลกสวยงามใบนี้ต่อไป ดูดิ!!! ขนาดไวรัสมันยังกลายพันธุ์ ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของมัน มันถึงได้อยู่คู่โลกมาจนถึงปัจจุบัน แล้วนี่ถ้าเราไม่ปรับตัวหรือทำอะไรสักอย่าง เราคงต้องสูญพันธุ์เพราะพวกมันแน่ๆ แล้วเราจะปรับตัวยังไงถึงจะอยู่รอดได้ ในสถานการณ์ไวรัสระบาด เริ่มจากตัวเองง่ายที่สุด โดยการสร้างหรือเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ตัวเราเอง ด้วยสารอาหารเหล่านี้ นี่แหละที่เราทำได้ด้วยตัวเอง เริ่มจาก…

โปรตีน (PROTEIN)

โปรตีน สารสำคัญในการสร้างเซลล์ และสารต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน

สรรพคุณของโปรตีน

  1. ให้กรดอะมิโนจำเป็น ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น
  2. ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและโครงสร้างของร่างกาย รวมทั้งช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ที่สึกหรอ
  3. สร้างสารทำงานต่างๆ ในร่างกาย เช่น เอนไซม์และฮอร์โมนหลายชนิด รวมทั้งช่วยนำพาและขนส่งสารหลายชนิดในเลือด
  4. สร้างภูมิต้านทาน โดยสร้างสารแอนติบอดีทำหน้าที่จับและทำลายสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
  5. ดูแลสมดุลของเหลว โปรตีนในเลือดทำหน้าที่รักษาสมดุลออสโมติก (Osmotic Balance) ทั้งในเลือดและในเซลล์
  6. เนื่องจากเซลล์และสารคัดหลั่งต่าง ๆ ในระบบภูมิคุ้มกันเป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนที่ได้จากอาหารโปรตีนที่ร่างกายรับประทานเข้าไป
  7. ดูแลสมดุลกรด-ด่าง โปรตีนในเลือดช่วยควบคุมปริมาณอิออนไฮโดรเจน ทำให้ pH ในเลือดและในเซลล์อยู่ในสภาวะที่เป็นด่างอ่อน ซึ่งเหมาะสมต่อการทำงานของเอนไซม์ส่วนใหญ่ในร่างกาย
  8. สร้างกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดในร่างกาย
  9. เป็นแหล่งพลังงาน ในบางภาวะที่ร่างกายขาดอาหารอย่างรุนแรง ร่างกายสามารถสลายโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโนอิสระเพื่อนำไปสร้างพลังงานให้แก่ร่างกายได้

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้โปรตีน

  1. ความต้องการโปรตีนใน 1 วัน ความต้องการโปรตีนของร่างกายสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ระดับ 1 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
    • หากเป็นหญิงมีครรภ์ หรือหญิงให้นมบุตร มีความต้องการพลังงานและโปรตีนเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนตั้งครรภ์
    • ในขณะที่ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควรได้รับโปรตีน 1.2-1.6 กรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน
    • ส่วนผู้ที่ออกกำลังกายหรือนักกีฬาทั่วไปที่ต้องการพลังงานมากขึ้นแต่ไม่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ จะมีความต้องการโปรตีนเทียบเท่ากับคนปกติ
  2. ปริมาณที่สูงเกิน คือ การกินโปรตีนมากกว่า 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ต่อวัน ทั้งนี้ปริมาณการได้รับโปรตีนของแต่ละวัน สามารถปรับให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน

วิตามินซี (VITAMIN C)

วิตามินซี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ เช่น

สรรพคุณของวิตามินซี

  1. การป้องกันหวัด ต้องกินเป็นประจำทุกวัน หากเป็นหวัดแล้วจึงเริ่มกิน วิตามินซี จะไม่สามารถลดความรุนแรงหรือระยะเวลาในการเป็นหวัดได้
  2. สำหรับคนที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ถึง 50%
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการสร้างและเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว เพิ่มความสามารถในการต้านการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
  4. ช่วยสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นมา เพื่อกำจัดเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อไวรัส ลดภาวะการติดเชื้อไวรัส
  5. ลดการหลั่งสารฮีสตามีน ทำให้ลดน้ำมูก อาการแพ้ บวมแดง และคัน
  6. ปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรัง และความผิดปกติต่างๆ มี 2 ปัจจัย คือ
    • ปัจจัยภายใน เช่น ความเครียด กระบวนการเผาผลาญอาหาร
    • ปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด อาหาร ฝุ่น ควัน บุหรี่ และแอลกอฮอล์
  7. สร้างคอลลาเจน ซึ่งจะลดลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ส่งผลให้ผิวเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง เกิดริ้วรอย
  8. ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สร้างเม็ดสี เพื่อลดการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไป ช่วยลดรอยดำ ผิวหมองคล้ำ และช่วยให้ผิวขาว กระจ่างใส

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้วิตามินซี

  1. แหล่งวิตามินซี คือ ผักผลไม้ อย่างผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว เบอรี่ชนิดต่างๆ เป็นต้น จากผักบางชนิด เช่น พริกหวาน บร็อคโคลี มะเขือเทศ เป็นต้น
  2. โดยความต้องการต่อวันของวิตามินซี ตามข้อกำหนดปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563
    • ในเด็กอายุ 1-8 ปี ควรได้รับ 25-40 มิลลิกรัมต่อวัน
    • ในเด็กและวัยรุ่นช่วงอายุ 9-18 ปี ควรได้รับ 60-100 มิลลิกรัมต่อวัน
    • วัยผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 85-100 มิลลิกรัมต่อวัน
  3. วิตามินซีเสริมจากแหล่งอาหารปกติ เราควรเสริมแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 500 มิลลิกรัม เพราะการที่เรากินวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัมภายในครั้งเดียว ร่างกายจะดูดซึมได้ประมาณ 43.5% และขับออกทางปัสสาวะอีก 25% เหลือร่างกายนำไปใช้ได้ประมาณ 25% เท่านั้น และไม่ควรรับประทานมากกว่า 3,000 มิลลิกรัม เพราะจะทำให้ปวดท้อง มวนท้อง และท้องเสียได้
  4. คุณอาจเคยได้ยินหรือเคยเห็นฉลากหรือเอกสารกำกับยาที่ระบุว่า “Extended Release, Controlled Release, Sustained Release, Modified Release, Slow Release Technology” ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ “การออกฤทธิ์” ของยาด้วยการควบคุมให้แตกตัวและดูดซึมในอวัยวะเป้าหมาย หรือค่อยๆ “ปลดปล่อย” ตัวยาออกมาในปริมาณที่สม่ำเสมอเป็นเวลานาน 4 หรือ 8 ชั่วโมง ปัจจุบันยาที่ผสมผสานนวัตกรรมนี้ ได้แก่ ยาระงับปวดชนิด Tramadol ยากันชัก และวิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นาน ที่ตอบโจทย์ผู้ที่ขาดวิตามินซีได้เป็นอย่างดีประโยชน์เด่นๆ ของวิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นานก็คือ
    • ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
    • ช่วยลดปัญหาการระคายเคืองกระเพาะอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร
    • ลดความถี่ในการรับประทานลง ทำให้สะดวกมากขึ้น เช่น รับประทานเพียงวันละ 1-2 ครั้ง
  5. ควรรับประทานวิตามินซีในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควบคู่ไปกับการรับประทานผักและผลไม้ปกติ ซึ่งให้วิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์ ที่ร่างกายต้องการ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพโดยรวมที่ดีนั่นเอง

รู้หรือไม่ การสูบบุหรี่หนึ่งมวนจะผลาญวิตามินซีในปริมาณเท่ากับส้มเขียวหวาน (20-30 มิลลิกรัม) ราว 1 ผล!

ข้อมูลอ้างอิง :

  1. มูลนิธิหมอชาวบ้าน
  2. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
  3. นิตยสารวาไรตี้เพื่อสุขภาพ @Rama
  4. กรมอนามัย http://www.anamai.moph.go.th

วิตามินบี (VITAMIN B)

วิตามินบี เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย ลดความเครียด และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

สรรพคุณของวิตามินบีี

  1. วิตามินบีจำเป็นต่อระบบการไหลเวียน จะมีโปรตีนแอนตีบอดี้ ทำหน้าที่ตรวจจับ และกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกาย กระบวนการสร้างโปรตีนแอนติบอดี้ จำเป็นต้องใช้วิตามินบีร่วมด้วยเสมอ
  2. งานวิจัยพบว่า วิตามินบี 5 และ บี 6 มีส่วนสำคัญต่อจำนวนเซลล์ ที่ทำหน้าที่สร้างโปรตีนแอนติบอดี้ในร่างกาย
  3. วิตามินบีรวมเป็นโคเอนไซม์ร่วม ในการสร้างระบบภูมิต้านทาน ซึ่งจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ต้องอยู่บนพื้นฐานการทำงานของเซลล์ที่สมบูรณ์ ระบบชีวเคมีพื้นฐานในเซลล์ ต้องการวิตามินบีรวมเป็นโคเอนไซม์ร่วมด้วย
  4. วิตามินบี 9 และบี 12 มีผลต่อการสร้างกรดนิวคลิอิค (จำเป็นต่อการแบ่งเซลล์) ในเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเซลล์ด่านหน้า ระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยต่อต้านเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่างๆ

คำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้วิตามินบี

  1. เทคโนโลยีการปลดปล่อยวิตามินบีแบบทันที (Instant Release) และแบบออกฤทธิ์นาน (Extended Release) ช่วยให้ร่างกายดูดซึม และรักษาระดับวิตามินบีรวมได้ดีขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องกินวิตามินขนาดสูงๆ
  2. การบริโภควิตามินบีมากเกินความจำเป็นก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาเจียน ผื่นขึ้น เวียนศีรษะ หรือตับอักเสบ เป็นต้น ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัย
  3. ผลข้างเคียงของการใช้วิตามินบีรวมที่พบได้ทั่วไป คือ ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มและสว่างขึ้น ซึ่งเกิดจากการขับวิตามินส่วนเกินออกของร่างกาย แต่ไม่ใช่ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

ข้อมูลอ้างอิง : เอกสารการฝึกอบรม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิตามินบี ของนิวทริไลท์

ยังไม่หมดนะครับสำหรับสารอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน ติดตามได้ต่อใน EP.2

คลิกลิงค์ สารอาหารสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมรับในทุกสถานการณ์

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

กินนิด กินหน่อยก็อ้วน ยิ่งลดน้ำหนัก ยิ่งอ้วนมากกว่าเดิม เพราะ…….อารายแว้!!!

ปัญหาเหล่านี้ กินนิด กินหน่อยก็อ้วน ยิ่งลด ยิ่งอ้วนมากว่าเดิม เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ เรามาดูกันว่ามันเพราะอารายแว้!!! ข้อมูลความรู้ทำให้เรา สามารถที่จะพิจารณาไคร่ครวญได้ ไม่ต้องมานั่งคิดเอง เออเอง ซึ่งทำให้ผิดเพี้ยนไปได้

 

เคยสังเกตุกันมั๊ยครับว่า คนไทยที่เดินมาทุกๆ 3 คนจะมีคนอ้วน 1 คน คุณคือ 1 ใน 3 ที่อ้วนหรือ 2 ใน 3 ที่ไม่อ้วนหรือเปล่า บางคนอาจจะเถียง อ้วนแล้วไง? ก็ไม่ไงหรอกครับ แค่จะบอกว่า ถ้าคุณเป็น 1 ใน 3 ที่อ้วน ขอแสดงความยินดีว่า คุณมีโอกาสได้เป็นโรคดังต่อไปนี้ ดีใจมั๊ยครับ!!! ลองมองดูคนใกล้ตัว รอบๆ ตัวเราดูว่ามีบ้างหรือเปล่าที่อ้วนแล้ว เป็นโรคตามด้านล่างเหล่านี้ ผมคนนึงล่ะที่มี เอาคนที่ใกล้ชิดผมที่สุดก็แล้วกัน ก็พ่อของผมเองครับ เริ่มจากอ้วนลงพุง แล้วก็เบาหวาน ตามมาด้วยเส้นเลือดหัวใจตีบ สุดท้ายพ่อผมก็เสียชีวิตจากโรคเหล่านี้ นั่นคือเหตุผลข้อนึงว่า ต่อมามันทำให้ผมเริ่มหันมาสนใจ เรียนรู้ เรื่องสุขภาพ การลดน้ำหนัก และลงมือทำด้วยตัวเองครับ

1. ไขมันในเลือดสูง
2. ความดันเลือดสูง
3. ว่าที่เบาหวาน
4. เบาหวาน
5. อัมพาต อัมพฤกษ์
6. โรคหัวใจ

 


อ้าวเหรอ! หลายคนเสียงเริ่มอ่อน แล้วมันอ้วนมาจากอะไร ? ผมว่าหลายคนก็รู้ตัวดีครับ แต่บางคนก็มองไม่เห็นเพราะมันเป็นวิถีชีวิตในทุกๆวันของเรา มันฝังอยู่ในตัวเราจนเราละเลยมองไม่เห็น ผมจะบอกว่าปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วนในปัจจุบันมาจากวิถีชีวิตเหล่านี้ครับ

1. วิถีชีวิตไม่กระฉับกระเฉง เนือย นิ่ง
2. พฤกติกรรมที่ไม่ดี เช่น นอนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลัง ปาร์ตี้บ่อย
3. อาหารที่รับประทาน คุณภาพต่ำ
4. สัดส่วนในการบริโภคอาหารไม่เหมาะสมมากเกินไป
5. รายได้ต่ำ ทำให้ซื้อได้แค่อาหารคุณภาพต่ำ ราคาถูก เช่น พวกแป้ง
6. ราคาอาหารที่ทำให้อ้วนมักจะราคาถูก
7. อาหารโภชนาการต่ำ สารอาหารไม่ครบ ไม่ได้สัดส่วน

 


เหรอ เหรอ เหรอ !!! แล้วมันจะลดน้ำหนักให้กลับไปหุ่นสเลนเดอร์ สุขภาพดี เหมือนตอนวัยเอาะ เอาะ ได้ยังไงบอกหน่อยดิ ? บอกเลยว่าต้องเข้าใจสิ่งนี้ก่อน จำไว้นะครับ

1. กิน เท่ากับ ใช้ (น้ำหนัก เท่าเดิม)
2. กิน มากกว่า ใช้ (น้ำหนัก เพิ่มขึ้น)
3. กิน น้อยกว่า ใช้ (น้ำหนัก ลดลง)
อยากผอมก็ต้องข้อ…… (เฉลย ข้อ 3)

ตัวอย่างง่ายๆ เลยนะครับ หากเราลดแคลอรี่ได้จากที่เคยกินวันละ 500 แคลอรี่ ครบ 7 วันเท่ากับ 3,500 แคลอรี่ น้ำหนักของเราจะลดไป 0.5 กิโลกรัม ทำไปจนครบ 1 เดือน เราจะลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 2 กิโลกรัม เห็นมั๊ยว่ามันง่ายนิดเดียว แต่ทำมั๊ย! ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ต้องเลือกเอง ทำเอง ไม่มีใครทำแทนเราได้ หากตัดสินใจที่จะลดน้ำหนักก็ต้องรู้วิธีการลดที่ถูกต้อง ปลอดภัย ด้วยครับ

 

อืม เข้าใจล่ะ!! แต่ว่าเคยเห็นวิธีการลดน้ำหนักมีเยอะแยะมากมาย ไม่รู้ว่าแต่ละวิธีดี ไม่ดี แตกต่างกันยังไง ? วานบอก ได้ครับผม ตั้งใจอ่านนะ ผมจะแบ่งเป็นกลุ่มๆ เริ่ม….ละนะ !!!!!

1. อดอาหาร ยาลด นน. กาแฟลด นน. ก็เป็นการลดปริมาณอาหารที่กินให้น้อยลง แคลอรี่ก็น้อย ทำให้ได้สารอาหารไม่ครบ ส่งผลให้ระบบเผาผลาญบกพร่อง น้ำหนักลดลง แต่พอออกคอร์สหรือหยุดกิน ก็จะกลับมาอ้วนใหม่หรือเรียกว่า โยโย่!!! คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดัน เป็นต้น อาจอันตรายถึงตายได้
2. คุมแคลอรี่ด้วยการควบคุมอาหาร คือกินน้อยมาก อดอาหาร มื้อเย็นงดอดไม่กิน ผลก็เหมือนกับข้อแรก เพราะวิธีนี้ทำให้ระบบเผาผลาญบกพร่อง แล้วถ้าทำหลายครั้ง ผลจะกลับมาอ้วนมากกว่าเดิม กินนิดหน่อยก็ยังไม่ผอม อันตรายครับ
3. ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารและตัวช่วย วิธีนี้ก็เป็นการควบคุมปริมาณอาหารกับแคลอรี่เหมือนกัน แต่ผลิตภัณฑ์พวกนี้จะมีสารอาหารครบในแต่ละมื้อที่ร่างกายต้องการ ทำให้ได้สารอาหารครบถ้วน พอเพียง ส่งผลให้ระบบเผาผลาญของเราทำงานได้สมบูรณ์ น้ำหนักเลยลดลงแบบไม่โทรม ไม่เสียสุขภาพ พอออกคอร์ส อาการโยโย่ ก็จะไม่มีเป็นการลดแบบให้ผลรวดเร็ว ปลอดภัย แต่ก็แลกมาด้วยเงินที่ต้องซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาช่วยในการลดน้ำหนัก

จากประสบการณ์ที่ผมลดน้ำหนักได้สำเร็จ ก็จากข้อ 3 ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร และตัวช่วย ผมลดไป 8 กิโลกรัม ก่อนหน้านั้นผมก็เคยใช้วิธีตามข้อ 2 คุมอาหารเอง มันก็ลดได้ แต่พอลดได้แค่ 3 กิโลกรัม มันก็หยุดนิ่งเลย ทำยังไงก็ไม่ลงอีกเลย จนท้อใจ เลิก กลับไปกินเหมือนเดิมดีกว่า ประชดชีวิตไปเลย จนน้ำหนักพุ่งขึ้น จนทนตัวเองไม่ไหว ก็มาโอเคกับแนวทางผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารนี่แหละครับ ตอนนี้สบายตัว มั่นใจในตัวเองมากขึ้น

สุดท้ายจากประสบการณ์และข้อมูล หวังว่าทุกท่านที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวคงจะสามารถเลือกได้นะครับว่า วิธีไหนดีต่อตัวเรา ไม่มีใครรู้ตัวเราได้ดี เท่ากับตัวเราเองครับ ผมมีคำถาม 2 ข้อที่จะถาม ลองตอบในใจดูครับว่า จะเลือกข้อไหน
1. จ่ายเงิน หมื่นกว่าบาท เพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดี หรือ
2. จ่ายเงิน หมื่นกว่าบาท เพื่อรักษาโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน หลอดเลือด
ก็อยู่ที่เราเลือก ฝากคำนี้ไว้ครับ คุณเป็นอย่างที่คุณกิน (You are what you eat)

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ทำไมกินอาหารไขมันต่ำแล้วน้ำหนักไม่ลด

ฮันแน่! เคยสงสัยมั๊ยครับว่า “ทำไมแม้เราจะกินอาหารที่ไขมันต่ำ แต่น้ำหนักของเราไม่ลดเสียที” มันก็มีหลายเหตุ หลายผล มาว่ากันเป็นข้อๆ กันเลยดีกว่า

  1. การที่เราเลือกกินอาหารที่มีไขมันต่ำ แต่ว่าน้ำหนักของเราไม่ยอมลดนั่นก็เป็นเพราะว่า อาหารที่มีไขมันต่ำ จะย่อยง่ายกว่าอาหารที่มีไขมันสูง เมื่อย่อยเร็ว เราก็หิวเร็ว ทำให้เรากินมากขึ้น เยอะขึ้น
  2. อาหารไขมันต่ำบางอย่างก็ใช่ว่าจะมีแคลอรี่ต่ำเสมอไป เพราะอาหารไขมันต่ำหลายอย่าง มีน้ำตาลสูง เช่น โยเกิร์ต รสต่างๆ
  3. ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไขมันต่ำส่วนใหญ่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านกระบวนการมากมายและมีแคลอรี่สูงมาก โดยที่ถูกแล้วผลการลดน้ำหนักจะชี้วัดจากแคลอรี่ทั้งหมด ไม่ใช่แคลอรี่จากไขมันอย่างเดียว และที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือ ร่างกายที่ได้รับอาหารไขมันต่ำมานาน จะมีประสิทธิภาพในการสร้างไขมันขึ้นมาเองทำให้กระบวนการเผาผลาญเกิดช้าลง จึงทำให้การอดอาหารจะได้ผลเพียงช่วงแรกเท่านั้น และน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นหลังจากการอดอาหารอย่างแน่นอน
  4. การกินที่เอาแต่กินของแคลอรีต่ำ หรือไม่มีแคลอรี เช่น บุก, วุ้น หรือเครื่องดื่มแคลอรี 0% ไม่ค่อยกินเนื้อสัตว์, คาร์โบไฮเดรต หรืออาหารที่มีน้ำมัน เป็นการกินที่ไม่ถูกต้องครับ เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร ระบบการย่อย การดูดซึม และการเผาผลาญแย่ลง และพอร่างกายไม่ได้รับพลังงาน จึงไม่มีการเผาผลาญทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิต่ำลง ทำให้ร่างกายสะสมไขมันไว้ได้ง่ายขึ้น และทำให้เผาผลาญออกได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
  5. การกินอาหารที่มีแคลอรีต่ำ หรือ 0% ในการลดน้ำหนักนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ถ้ากินแต่ของเหล่านี้อย่างเดียว ร่างกายก็อาจจะขาดสารอาหารได้ครับ เรากินให้ได้สารอาหารครบถ้วนดีกว่า ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า

รู้กันแล้วใช่มั๊ยครับว่า ทำไมถึงกินอาหารไขมันต่ำแล้วน้ำหนักก็ยังไม่ลด การลดน้ำหนักไม่ยากและซับซ้อนเลย แต่สิ่งที่ยากคือ วินัยในการทำตามโปรแกรมลดน้ำหนัก และความรู้ที่ถูกต้องในการลดน้ำหนักครับ

ลิงค์แนะนำ ลดน้ำหนักด้วย บอดี้คีย์ (BodyKey) จนได้น้ำหนักที่ต้องการ ได้อย่างไร

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

อยากผอมต้องกำจัด 4 อารมณ์นี้ทิ้งไปซะ

เคยได้ยินประโยคที่ว่า “เหตุผลทำให้คนคิด แต่อารมณ์ทำให้คนกระทำ” มั๊ยครับ ? นั่นผมกะลังจะบอกว่า คนเราโดนขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ คนเราอ้วน น้ำหนักเกินก็เพราะอารมณ์ล้วนๆ หลายคนอาจจะแย้งว่าไม่จริง มันมีเหตุผลของมันที่เราอ้วน ถูกครับ ไม่ผิด แต่ตัวขับเคลื่อนที่ทำให้เราอ้วน คือ อารมณ์ล้วนๆ เหตุผลตามมาทีหลังตลอด เคยเป็นกันมั๊ยครับ ผมจะบอกว่าอารมณ์ที่ทำให้เราอ้วน น้ำหนักเพิ่มขึ้นมีอยู่ 4 อารมณ์ที่พึงระวัง ซึ่งเรียกว่า HALT ซึ่งแปลว่า “หยุด” และเป็นคำย่อตามอักษร 4 ตัวนี้แทนอารมณ์ที่ต้องจัดการอย่าให้เกิดขึ้น หรือหยุดมันซะ แล้วจะน่ารัก หุ่นดีมีเอวเอส

 

H = Hungry = หิว

เป็นกันบ่อยมั๊ยครับ อารมณ์หิว อันนี้ต้องมาแยกแยะกันก่อนนะว่า ที่หิวน่ะ หิวจริงหรือเห็นอาหาร เห็นร้านแล้วอยากกิน คนเราพอหิวมักจะลืมตัว อารมณ์หิวขึ้นหน้า เหมือนก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ก็เพราะอารมณ์หิวล้วนๆ เมื่อปล่อยให้มีอารมณ์หิว เรามักจะสั่งอาหารมากกว่าปกติ กินมากกว่าปกติ มาได้สติตอนกินไปหมดแล้ว สุดท้าย สำนึกผิด ไม่น่าเลยเรา แต่ว่ามันสายไปแล้ว อย่างแรกมาแยกแยะก่อนว่าหิวจริง หรือว่าอยาก (อารมณ์)

หิวจริงจากความต้องการของร่างกาย

จะเกิดจากความต้องการของร่างกายในขณะที่ร่างกายมีพลังงานและน้ำตาลลดต่ำลง มักเกิดขึ้นจากการที่เรากินอาหารไปแล้วอย่างน้อย 6 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้นในคนที่ระบบเผาผลาญเร็วแค่ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น สมองจะหลั่งฮอร์โมนหิวออกมา ซึ่งนอกจากรู้สึกหิวแล้วร่างกายจะส่งสัญญาณให้เรารู้ได้แก่  อ่อนเพลีย มือไม้สั่น ท้องร้อง หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม แบบนี้คือ หิวจริง

หิวที่เกิดจากอารมณ์ ความอยาก

ความอยากมักเกิดเมื่อมีสิ่งมาเร้า รูป กลิ่น ภาพ สัมผัส เช่น การได้กลิ่นอาหาร เห็นอาหาร เห็นคลิปคนกินอาหาร โฆษณาอาหาร ฯลฯ ปัจจุบันสิ่งเร้ามาถึงมือเราผ่านสมาร์ทโฟนที่มีกันทุกคน แถมสั่งให้มาส่งได้ด้วย สะดวกสบายต่อการที่เราจะอ้วนสุดๆ ความหิวที่เกิดจากความอยากทั้งๆที่ไม่ได้หิวจริงๆ ทำให้เรากินอาหารมาก น้ำหนักก็เพิ่มขึ้น อ้วนในที่สุด การกินจุบจิบจนเป็นนิสัย ความรู้สึกว่าจะต้องล้างปากด้วยของหวานหลังอาหารคาว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความหิวที่เกิดจากอารมณ์ทั้งสิ้น ถ้าหากเราประเมินดีแล้วว่าความหิวนั้นคือความหิวจริงๆ ไม่ได้เกิดจากอารมณ์ความอยากก็ควรหาอาหารที่ดีมีประโยชน์กับร่างกาย มาโดยการกินช้าๆ และเพลิดเพลินกับอาหารทุกคำ

วิธีแก้อารมณ์หิว

  • นั่งคิดพิจารณานิดนึงถึงความรู้สึกที่เป็นอยู่ แล้วเริ่มที่การดื่มน้ำเปล่าเย็นๆ แก้วใหญ่ๆ ซักแก้ว และเบี่ยงเบนความสนใจไปทำอย่างอื่น
  • หลีกเลี่ยง หลบ หลีก สิ่งเร้าทั้ง รูป กลิ่น ภาพ สัมผัส ของอาหาร

 

A = Angry = โกรธ หงุดหงิด อารมณ์เสีย เครียด

คนเรามีเรื่องให้โกรธ หงุดหงิด เหวี่ยงวีนได้ตลอดเวลา ยิ่งสมัยนี้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ มีมีมากมายและเข้ามาหาเราได้เร็วแค่ปลายนิ้วกด จะด่าใครสักคนไม่ต้องไปพบ ไปเจอ แค่กดพิมพ์ กดส่ง ก็ด่าได้แล้ว 55555 และก็โดนด่ากลับมาเร็วเหมือนกัน แล้วถ้ากดพิมพ์ด่าไม่ทันก็กดโทรเป็นเสียงไปด่าเลยดีกว่า สะใจ แล้วยังไง สุดท้ายอารมณ์เสีย เครียด หงุดหงิด

เมื่อคนเราโกรธร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลีนออกมา สารอะดรีนาลีนจะไปกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และเมื่อสารอะดรีนาลีนลดลง เราก็จะรู้สึกเหนื่อยล้าและต้องการที่จะหาอะไรมาเติมเต็ม และเรายังอยู่ในอารมณ์ที่โกรธ หงุดหงิดอยู่ เลยทำให้เราตัดสินใจผิดพลาด เพราะเราควบคุมตัวเองไม่ได้ ส่งผลให้เราเลือกกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพหรือรับประทานอาหารมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้น้ำหนักของเราเพิ่มขึ้น

เมื่อเรามีอารมณ์โกรธ เครียด หงุดหงิด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ซึ่งมันจะทำการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดของเราให้กลายเป็นไขมัน และยังส่งผลให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เราอ้วนขึ้น แถมยังทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตามมาด้วย

วิธีแก้อารมณ์โกรธ

  • การไม่กินอาหารตอนที่กำลังโกรธ เครียด และจดบันทึกเมนูอาหารที่รับประทานทุกครั้ง เพื่อเตือนสติของเรา
  • ออกกำลังกาย ซึ่งจะทำให้เราผ่อนคลาย มีสมาธิ และรูปร่างดีขึ้นกว่าเดิม
  • อ่านหนังสือ ออกไปท่องเที่ยวกับเพื่อน หรือการทำสิ่งต่างๆ ที่เราชื่นชอบ ทำให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้นนั่นเอง

L = Lonely = เหงา เบื่อ ต้องการความรัก

อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่เสมือนอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางฝูงชน แบบนี้เรียกว่า เหงานะ ตามธรรมชาติของมนุษย์ต้องการสังคม และเมื่อถูกตัดขาดจากสังคม จากเพื่อนฝูง จากคนรัก หรือต้องอยู่คนเดียวก็จะทำให้เรารู้สึกหิวมากขึ้นจนทำให้เกิดการกินอาหารมากขึ้น เพราะจะมีการหลั่งฮอร์โมนความหิวมากขึ้นกว่าคนปกติ และมีแนวโน้มที่จะหยุดหรือลดการออกกำลังกาย จนนำมาสู่ภาวะอ้วนในที่สุด หลายคนก็ชอบกินแก้เหงา เพราะแก้ได้ทั้งเหงาใจและเหงาปาก พอเหงาขึ้นมาไม่รู้จะทำอะไร หมุนไปหมุนมาก็เปิดตู้เย็น เดินไปเดินมาก็เลยเลี้ยวเข้าครัว หรือบางคนก็ชอบแก้เหงาด้วยการทำขนมหรือทำกับข้าว เหตุนี้หลายคนจึงอ้วนเพราะความเหงาเป็นเหตุ

วิธีแก้อารมณ์เหงา

  • ควรสังเกตอารมณ์ตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองเกิดความเหงา และออกไปทำกิจกรรมกับเพื่อนฝูงบ้าง อย่าเก็บตัวหมกมุ่นอยู่คนเดียว
  • ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอด้วย เช่น วิ่ง ฟิตเนส โยคะ การออกกำลังกายทำให้สารเอนโดรฟินหลั่ง คุณจะรู้สึกมีความสุข รูปร่างดี แข็งแรงด้วย

T = Tired = เหนื่อย ง่วง อ่อนเพลีย ท้อ

ถ้าเราปล่อยให้มีอารมณ์เหนื่อย ง่วง อ่อนเพลีย ท้อ เกิดขึ้นกับตัวเรา จะก่ออันตรายต่อน้ำหนักตัวของเรา ซึ่งอารมณ์เหล่านี้จะทำให้เราอยากกินอาหารมากขึ้น ทั้งๆที่เราไม่ได้หิวจริงๆ เหนื่อยก็กิน ง่วงนอนก็กิน อ่อนเพลียยิ่งกินใหญ่เลย อารมณ์ข้อนี้อาจจะส่งผลมาจากฮอร์โมนเหล่านี้ คือ 

ฮอร์โมนอินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ฮอร์โมนตัวนี้ มีความเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน ความไม่สมดุลของอินซูลินมีผลต่อการมีน้ำหนักตัว ความง่วง การนอนไม่หลับ ความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ ความวิงเวียนศีรษะ และ ความไม่แจ่มใสของสมอง

ฮอร์โมนเกรลิน เรียกอีกอย่างว่า ฮอร์โมนความหิว ซึ่งมันจะหลั่งออกมาเมื่อเราอดหลับอดนอน และเป็นเหตุให้ร่างกายของเราเก็บสะสมไขมัน เกิดความหิวกระหาย ทั้งๆ ที่เราก็รับประทานอาหารอิ่มแล้ว

ฮอร์โมนเลปติน หากเราอดหลับอดนอนจะทำฮอร์โมนเลปตินนี้ไม่สมดุล ร่างกายก็จะควบคุมความอิ่มไม่ได้ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที

วิธีแก้อารมณ์เหนื่อย

  • การนอนให้เพียงพอเป็นเรื่องที่หลายคนมักมองข้าม ซึ่งการนอนให้ได้ 7 – 9 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้ความเสี่ยงในการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นลดลง หากอยากรูปร่างดี เพรียวระหงแล้วล่ะก็ ให้งดการเที่ยวกลางคืน งดการเล่นมือถือก่อนนอนเพื่อจะได้นอนเร็วขึ้น การพักผ่อนนอนหลับที่ดียังช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ หลังการรับประทานอาหาร เมื่อเทียบกับคนที่นอนไม่หลับ ที่สำคัญฮอร์โมนไม่แกว่ง น้ำหนักก็ไม่แกว่งเช่นกัน
  • การนอนหลับในห้องที่มืดสนิท ไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามา จะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ที่ทำให้การนอนหลับมีคุณภาพดี แถมยังช่วยขจัดไขมันสีน้ำตาล ที่มีผลต่อการเผาผลาญแคลอรี่ส่วนเกินได้อีกด้วย

อยากหุ่นดี น้ำหนักเหมาะสม สุขภาพดี เราต้องพยายามหยุดอารมณ์ HALT ออกไปให้ได้มากที่สุด ก็ลองนำไปปฏิบัติดูนะครับ การที่จะได้ผลลัพธ์อย่างที่เราต้องการ คือ การที่เราต้องพยายามทำซ้ำๆ ทำซ้ำๆ แล้วมันจะกลายเป็นนิสัยที่ดีของเรา ไม่ตกอยู่ในอารมณ์ 4 อย่างนี้ รูปร่างที่ดีก็จะคงอยู่กับเราตลอดไปครับผม

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

เกาะกระแส เทรนด์ใหม่ Energy Drink ที่คุณห้ามพลาด

     ช่วงนี้หลายคนคงเคยเห็นเครื่องดื่มประเภท Energy Drink ออกมามากมายในท้องตลาด แต่มี Energy Drink ที่น้ำตาล 0% แคลอรี่ 0% ยังไม่เห็น ส่วนใหญ่จะมีน้ำตาล มีแคลอรี่ เกือบทุกยี่ห้อ

     Energy Drink ช่วยให้เราออกกำลังกายได้นานขึ้น ทำงานได้นานขึ้น แบบว่า เป็นคนพลังงานเหลือล้น เกินปกติของตัวเราเอง

ส่วนประกอบ

ส่วนประกอบหลักเลย คือ ทอรีน และแอล-คาร์นีทีน

ทอรีน

     สารอาหารหลายชนิดมีความสำคัญกับสุขภาพของเรามากเลย แต่เราอาจไม่ค่อยรู้จักประโยชน์ของสารอาหารเหล่านั้นดีพอ จึงไม่ได้รับประทานให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่างเช่น “ทอรีน” ซึ่งมีประโยชน์ดีต่อร่างกายของเราไม่น้อยเลยทีเดียว เดี๋ยวจะเหลาให้ฟังว่าดียังไงบ้าง

     ทอรีน เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่พบได้มากในเซลล์ประสาท กล้ามเนื้อหัวใจ และสมองของเรา นั่นแปลว่า ร่างกายของเราก็สามารถสร้างทอรีนขึ้นมาใช้เองได้ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายละลดการสร้างทอรีน หรือสร้างได้น้อยลง นั่นจึ่งเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งเหนื่อยง่ายขึ้นทุกวัน ดังนั้น ใครอยากเพิ่มพลังกาย เติมพลังใจ ก็ต้องเพิ่มทอรีนให้ร่างกายด่วน

ทอรีนยังมีคุณประโยชน์อื่นอีก นอกจากเพิ่มพลังกายให้เราแล้ว เช่น

  1. ช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเราอึดขึ้น นานขึ้น หนักขึ้น แถมปลอดภัยด้วย
    • หนักขึ้น เป็นคุณสมบัติที่ดีเด่น โดนใจคนรุ่นใหม่ที่ชอบการออกกำลังกาย หรือต้องใช้พลังกายมาก ๆ ทอรีนคือ สารอาหารที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อของเราอึดขึ้น เพราะทอรีนช่วยเพิ่มศักยภาพในการยืด และหดตัวของกล้ามเนื้อเกือบทั้งหมดของร่างกายของเรา ทอรีนจึงช่วยให้เราสามารถทำงานได้หนักขึ้น เล่นกีฬาได้หนักขึ้น โดยที่เราจะเหนื่อยน้อยลงกว่าเดิมแน่นอน
    • อึด ทน นานขึ้น กว่าเดิม เพราะทอรีนสามารถขจัดกรดแล็กติค อันเป็นสาเหตุหลักของความเจ็บปวด และความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ จึงช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถออกแรงได้นานขึ้น แต่ก็ยังปลอดภัยไม่ต้องกลัวว่ากล้ามเนื้อจะเสียหาย เพราะทอรีนจะเป็นเกราะป้องกันกล้ามเนื้อให้สามารถออกแรงหรือเคลื่อนไหวได้ ปลอดภัยมากขึ้น สบายใจได้เลย
    • ด้วยคุณสมบัติข้างต้น ทอรีนจึงเหมาะมาก สำหรับคนที่ออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนัก หรือรักษาน้ำหนักตัว ที่พิเศษกว่าคือ ไม่เพิ่มแคลอรี่ หรือน้ำตาลให้กับร่างกายของคนที่กำลังลดน้ำหนัก หรือรักษาสุขภาพทุกคน
  2. ช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย และหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
    • เพราะทอรีนสามารถช่วยควบคุมปริมาณของแคลเซียมในหัวใจให้พอดี ช่วยทำให้ร่างกายดึงแคลเซียมมาใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจได้สมดุลขึ้น พร้อมกันนี้ยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต การสูบฉีดเลือดของหัวใจ จังหวะการเต้นของหัวใจ รวมทั้งความเข้มข้นของเกล็ดเลือดให้เป็นปกติ จึงเป็นเหตุผลว่า ทอรีน สามารถช่วยป้องกันภาวะหัวใจวาย และหัวใจเต้นผิดจังหวะได้นั่นเอง
  3. ช่วยลดความเครียด อาการกระสับกระส่าย
    • เพราะทอรีนมีคุณสมบัติเป็นสารระงับประสาทอย่างอ่อนๆ ด้วยการเป็นตัวนำกระแสประสาทในสมองของเรา ซึ่งช่วยให้สามารถบรรเทาความเครียด ระงับประสาทในสภาวะสมองของเราตื่นตัวมากกว่าปกติ ตลอดจนช่วยบรรเทาอาการลมชักได้
  4. ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
    • ทอรีนมีส่วนช่วยเราป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคอ้วน โรคหลอดเลือดแดงแข็งจากสภาวะไขมันในเลือดสูง อันเนื่องมาจากกลุ่มอะมิโนของทอรีนทำปฏิกิริยากับเรตินอลในตับได้ จึงมีคุณสมบัติช่วยลดการดูดซึมของไขมันในตับ ส่งผลให้ระดับของคอเลสเตอรอลและไขมันในตับลดน้อยลง
  5. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    • ทอรีน สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะอินซูลินทำงานได้น้อยลงนั่นเอง ทำให้เราไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นโรคเบาหวาน
  6. ช่วยเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
    • ทอรีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant อย่างนึง
    • ช่วยดีท็อกซ์สารพิษในตับได้
    • ช่วยป้องกันปอดไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายได้
    • ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล หรือไขมันที่ไม่ดีในตับได้
    • ช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับตับได้
  7. ช่วยเสริมให้จอประสาทตาของเรา แข็งแรงขึ้น
    • ทอรีนที่มีอยู่ในจอประสาทตา หรือเรตินา และสมอง จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เซลล์ประสาทตา โดยเฉพาะเซลล์ประสาทตาในส่วนที่รับแสงด้านนอกของเรตินา จึงช่วยป้องกันไม่ให้จอประสาทตาเสื่อมจากแสงสว่าง หรือสารเคมีที่กระทบเข้าดวงตาเราได้ด้วย

แอล-คาร์นิทีน

     อยากรู้มั๊ยครับว่า แอล-คาร์นิทีน (L-Carnitine) เหมาะกับใครบ้างเอ่ย ? ก่อนอื่นเลยต้องรู้ก่อนว่า “แอล-คาร์นิทีน” ทำอะไรกับร่างกายของเรา หลักๆ เลยก็คือ การช่วยเผาผลาญไขมันทั้งคอเลสเตอรอลกับไตรกลีเซอร์ไรด์ โดยเฉพาะไขมันกล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์ตับ อีกอย่างเลยคือ การทำหน้าที่ลำเลียงโมเลกุลเข้าไปในเซลล์ เพื่อเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน แล้วนำไปใช้ ดังนั้นแอล-คาร์นิทีน จึงเป็นตัวช่วยในการช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ดี

เหมาะกับคนกลุ่มไหนบ้าง

1. กลุ่มนักกีฬา ซึ่งต้องออกกำลังกายอย่างหนัก และเพิ่มความทนทานให้กับการออกกำลังกายให้มากขึ้น   เมื่อได้รับแอล-คาร์นิทีน ก็จะทำให้นักกีฬาสามารถใช้ออกซิเจนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้เหนื่อยช้าลง ส่งผลให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น แนะนำกินล่วงหน้าก่อนแข่งขัน 2-3 สัปดาห์ ลดความเหนื่อยล้า ไม่มีแรง อ่อนเพลีย และลดอาการปวดเมื่อยตามตัว

2. กลุ่มออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก แอล-คาร์นิทีน จะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงาน   แล้วนำไปใช้ได้มากขึ้น แถมยังออกกำลังกายได้นานขึ้น ก็ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นไปด้วย และช่วยกลุ่มคนที่มีปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มเร็ว เพราะมีไขมันสะสมมากเกินมาตรฐาน

3. กลุ่มคนป่วยโรคมะเร็ง และโรคไต   จำเป็นต้องได้รับ แอล-คาร์นิทีน เพื่อเอาไปชดเชยที่ร่างกายขับออกไป เนื่องจากยาที่ใช้รักษาโรคนั่นเอง

4. กลุ่มที่กินมังสวิรัติ   ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับ “แอล-คาร์นิทีน” ที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ เพราะฉนั้น ก็เลยไม่มีตัวช่วยนำไขมันเข้าไปเผาผลาญในเซลล์ เมื่อไขมันไม่สามารถเข้าไปในไมโตคอนเดรีย เพื่อย่อยสลายได้ ก็จะทำให้มีระดับไตรกลีเซอร์ไรด์สูงขึ้น

5. สำหรับผู้ชายที่อสุจิอ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไม่ปราดเปรียว   เมื่อเราได้รับ แอล-คาร์นิทีน จะทำให้อสุจิเคลื่อนไหวเร็วขึ้น เพิ่มตัวอสุจิให้มากขึ้น โอกาสที่เราจะมีเจ้าตัวน้อยก็มากขึ้น สำหรับคนที่ต้องการทายาทไว้สืบสกุล

6. ผู้สูงอายุที่มีอาการอัลไซเมอร์   แอล-คาร์ริทีนจะช่วยขจัดลดอาการสลดหดหู่ ซึมเศร้าได้ และเมื่อใช้ร่วมกับกรดแอลฟา ไลโปอิก ก็เหมาะสำหรับช่วยให้ผู้สูงอายุมีพลังดีขึ้น ช่วยต้านความรู้สึกหดหู่ได้ และลดอาการอ่อนเพลียได้ดี

7. กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ออาการโรคหลอดเลือดแข็ง และคอเลสเตอรอลสูง   เพราะแอล-คาร์นิทีน ช่วยเผาผลาญไขมันในไมโตคอนเดรีย หากเรารับปริมาณแอล-คาร์นิทีนไม่เพียงพอ จะเกิดสารตกค้างในระบบไหลเวียนของเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่ออาการโรคหลอดเลือดแข็ง และคอเลสเตอรอลสูง

     Energy Drink ราคาก็พอๆ กับกาแฟแก้วนึง แต่ให้ประโยชน์มากกว่าเยอะ แถมแคลอรี่เท่ากับศูนย์ และน้ำตาลเท่ากับศูนย์ ดีต่อคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และดีต่อสุขภาพ หาลองดื่มกันดูนะครับ สำหรับตัวผมเอง ตอนนี้ติดไว้ในตู้เย็นที่บ้านกับพกมาไว้ที่ทำงาน เย็นวันไหนมีเตะฟุตบอลก็ดื่มก่อนเล่นซะกระป๋องนึง วิ่งสบายไม่ค่อยเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อน เล่นกีฬาได้นานขึ้น แบบรู้สึกได้เลย เหมือนรถที่เติมน้ำมันค่าอ๊อกเทนสูงทีเดียว หรือดื่มแทนกาแฟ น้ำหวาน ที่ดื่มทุกวัน ถ้าวันไหนมีลงแข่งก็มากหน่อย 2 กระป๋อง ส่วนที่บ้านแม่ของผมก็ดื่ม แม่บอกว่าดื่มแล้ว ไม่เพลีย มีแรง ได้ยินแบบนั้นก็สบายใจสำหรับคนเป็นลูกละ ดื่มให้อร่อยต้องแช่ให้เย็นนะครับ ชื่นใจ พลังงานพลุ่งพล่านพร้อมปลดปล่อย

คลิกลิงค์ ผลิตภัณฑ์ Energy Drink พลังเหลือล้น น้ำตาล แคลอรี่แค่ 0%

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ทำไม โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (Coenzyme-Q10) เปลี่ยนชีวิตคุณได้

มีใครบ้างไม่อยากเปลี่ยนชีวิตตัวเองบ้าง ? โดยเฉพาะ สุขภาพ เปลี่ยนจากสุขภาพไม่ดีให้ดีขึ้น จากที่ดีก็ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เหมือนสมัยยังวัยเยาว์ ผมคนนึงล่ะที่ปราถนาจะเปลี่ยนสุขภาพให้มันดียิ่งขึ้น เหมือนที่มีคนกล่าวไว้ว่า “มีสุขภาพดี เหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน” ผมเคยถามเพื่อนผมว่า “ให้มีเงิน 100 ล้านบาท แต่มรึง! ป่วยเดินไปไหนไม่ได้ เอามั๊ย ? ” ไม่มีใครเอาสักคน แล้วคุณล่ะ เลือกอะไร ? ทำไมผมถึงจั่วหัวไว้ว่า “ทำไม โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (Coenzyme-Q10) เปลี่ยนชีวิตคุณได้” ลองอ่านดูไปจนจบดู แล้วจะรู้ว่าทำไม ?

S__4579332มารู้จักโคคิวเท็น (Co-Q10) หรือ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น (Coenzyme Q10) กันก่อนว่า มันคืออะไร ?

  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ไม่ใช่สารที่ให้พลังงานแก่เซลล์ต่างๆ ของร่างกาย แต่โคคิวเท็น เป็นสารที่ทำให้สารอาหารต่างๆ ที่เรากินเข้าไปกลายไปเป็นพลังงานของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย
  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น มีอยู่ใน ไมโตคอนเดรีย (ครัวของเซลล์) ในเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกายของเรา เป็นส่วนสำคัญในการสร้างพลังงานที่เรียกว่า ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งทำหน้าที่สร้างพลังงานมากถึง 95% ของพลังงานทั้งหมดในร่างกาย
  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น จำเป็นต้องมีจำนวนมาก และเพียงพอ ซึ่งมีจำนวนมากบนผนังของไมโตคอนเดรียในเซลล์ โดยเฉพาะอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง อย่างเช่น ตับ ไต หัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน และตับอ่อน ซึ่งพบโคคิวเท็นปริมาณสูง เป็นต้น
  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ยังช่วยเพิ่ม หรือขับออกซิเจนให้แก่เซลล์เนื้อเยื่อ เป็นตัวร่วมในกระบวนการหายใจระดับเซลล์ที่ใช้ออกซิเจน
  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ละลายได้ในไขมัน คล้ายวิตามินอี
  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น มีงานวิจัยจำนวนมากที่ได้ศึกษาถึงหน้าที่ของ “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น”
    • ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งสัญญาณขอเซลล์ในร่างกายจำนวนมาก
    • รวมถึงการถ่ายทอดของยีนหรือพันธุกรรมด้วย
    • ผลปรากฏว่า “โคคิวเท็น” อาจจะเกี่ยวข้องกับทุกพื้นที่ที่เกี่ยวกับสุขภาพของร่างกาย โดยการถ่ายทอดสัญญาณระหว่างเซลล์และควบคุมการแสดงออกของยีนหรือพันธุกรรม (Journal of the American College of Nutrition, 2001, 20:591-598)

แล้วเราต้องการ “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” มากน้อยแค่ไหนกัน

โดยปกติธรรมชาติร่างกายของเราสามารถสร้างโคเอ็นไซม์ คิวเท็นได้เอง แต่… แต่ว่าการสร้างเอ็นไซม์ คิวเท็น จำเป็นต้องใช้สารอาหาร และเอ็นไซม์หรือสารเคมีของร่างกายมากมายหลายอย่างด้วยกัน จึงทำให้การสร้างโคเอ็นไซม์ คิวเท็นที่สมบูรณ์ไว้ใช้งานในร่างกายได้ในปริมาณที่น้อยมาก

หากเราได้รับโคเอ็นไซม์ คิวเท็นน้อยเกินไป จะส่งผลทำให้ร่างกายของเรา อ่อนเพลียจากการที่เซลล์ไม่สามารถสร้างพลังงานได้อย่างเพียงพอ หัวใจจะเต้นไม่สม่ำเสมอ และมีผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายของเราลดลง

  • ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ต้องการเท่ากัน
  • สำหรับคนที่มีสุขภาพดี ต้องการ 20-30 มิลลิกรัม ต่อวัน
  • สำหรับคนที่มีสุขภาพไม่ดี ต้องการ 20-150 มิลลิกรัม ต่อวัน
  • ควรกินร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เพราะละลายได้ดีในไขมัน ทำให้ดูดซึมได้ดี
  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็นนั้น มีความปลอดภัยสูง โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ที่รุนแรง จากงานวิจัย มีการบริโภคปริมาณสูงถึง 300-600 มิลลิกรัม ต่อวัน นอกจากอาการแค่คลื่นไส้ไม่สบายท้องเท่านั้นเอง

สาเหตุของการขาดโคเอ็นไซม์ คิวเท็น จากงานวิจัยพบว่า “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” ในร่างกาย จะลดลงเมื่อเรามีปัจจัยดังนี้

  • อายุมากขึ้น โดยระดับโคเอ็นไซม์ คิวเท็น จะสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 20 ปี หลังจากนั้นจะค่อยๆ ลดลง ตามวัย และอายุที่มากขึ้น
  • เป็นโรคบางชนิด อย่างเช่น หัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่ง ปวดเค้นหน้าอก กล้ามเนื้อหัวใจตาย ความดันโลหิตสูง โรคพาร์คินสัน และโรคหืด
  • 50-75% ของผู้ป่วยโรคหัวใจมีภาวะขาดโคเอ็นไซม์ คิวเท็น
  • กินอาหารไม่สมดุล/ขาดสารอาหาร โดยเฉพาะที่จำเป็นในการสร้างโคเอ็นไซม์ คิวเท็น เช่น วิตามินหรือแร่ธาตุบางชนิด เช่น กรดโฟลิก ในอาซิน ไรโบฟลาวินส์ และไพริดอกซิน เป็นต้น
  • ร่างกายมีความต้องการใช้โคคิวเท็นมากเกินไป
  • ยาลดไขมันในเลือด ลดการทำงานของเอ็นไซม์ ทำให้ร่างกายขาดสารตั้งต้นในการสร้างโคคิวเท็น โดยยากลุ่มนี้จะเป็นยากลุ่มสเตติน เช่น โลวาสเตติน อะโทวาสเตติน เป็นต้น

despair-1235582_1920

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สำคัญอย่างไร

  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น กับสุขภาพของหัวใจ โดยหัวใจของเรานั้น เต้นเฉลี่ยถึง 100,000 ครั้งต่อวัน ทุกๆ วัน ตลอดชีวิต ไม่มีหยุดพักผ่อน ไม่ลาหยุดพักร้อน หัวใจจึงต้องการพลังงานที่คงที่ เพื่อให้เต้นได้อย่างสม่ำเสมอ
  • หัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่ง ภาวะที่รุนแรงที่สุด หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” สามารถลดอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวได้ และยังมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์อเมริกา (American Journal of Therapeutics) ระบุว่า “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถเพิ่มการส่งเลือดออกจากหัวใจได้มากกว่า 15.7% และเพิ่มระยะเวลาในการออกกำลังกายได้มากขึ้น 25.4%
  • โรคหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี สาเหตุหัวใจล้มเหลว และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของมนุษย์ เกิดจากการสะสมของไขมันโดยตรงบนผนังหลอดเลือด หรือภาวะหลอดเลือดแข็งตัว “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” ลดการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โดยจำกัดปริมาณไขมันที่จะไปสะสมบนผนังหลอดเลือด
  • เสริมวิตามินอี ร่วมกับโคเอ็นไซม์ คิวเท็น เพิ่มการป้องกันภาวะหลอดเลือดอุดตันได้มากกว่าการได้รับเพียงอย่างเดียว
  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถลดแผลบนผนังหลอดเลือดได้ และลดการขยายตัวของโรคหลอดเลือดอุดตัน
  • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ลดการเกิดออกซิเดชั่นของ LDL คอเลสเตอรอลตัวไม่ดี ลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในเลือด และเพิ่ม HDL คอเลสเตอรอลตัวดีได้
  • อาการปวดเค้นหน้าอก  มีหลายรายงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ และในวารสารโรคหัวใจของอเมริกา (American Journal of Cardiology) ระบุว่า “ผู้ที่เคยรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถลดโอกาสการเกิดอาการปวดเค้นหน้าอกได้”
  • เพิ่มขีดความสามารถ โดยทำให้เรา “ออกกำลังกายได้นานขึ้นด้วย”

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น กับการต้านอนุมูลอิสระ

การหายใจของเราแต่ละครั้งจะเกิดอนุมูลอิสระได้มากมาย “อนุมูลอิสระ เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในชีวิตประจำวัน ร่างกายผลิตอนุมูลอิสระขึ้นจาก กระบวนการอักเสบภายในร่างกาย การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน สิ่งแวดล้อม ความไม่สมดุลที่เกิดขึ้นในร่างกาย โดยเฉลี่ยเซลล์เราถูกโจมตีโดยอนุมูลอิสระทุกๆ 10 วินาที หรือประมาณ 10,000 ครั้งต่อวัน”

ผิวหนังมีสารต้านออกซิเดชั่นอยู่จำนวนมาก ได้แก่ วิตามินอี โคเอ็นไซม์ คิวเท็น กลูตาไธโอน เพอรอกซิเดส ซูเปอร์ออกไซม์ ไดมิวเทส เป็นต้น ซึ่งแสงแดดมีผลให้ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายของเราลดลง และการมีอายุเพิ่มขึ้นพบว่ามีการสร้างโคเอ็นไซม์ คิวเท็นลดลงเช่นกัน จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยเมื่อมีอายุมากขึ้น

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระทั้งที่เกิดจากภายในร่างกายและจากสภาวะภายนอก จึงสามารถป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะเซลล์ที่กล้ามเนื้อหัวใจ และปกป้องการทำลายดีเอ็นเอของอนุมูลอิสระ

งานวิจัยผลดีของ “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” ต่อภาวะโรคต่างๆ

  • ความดันโลหิตสูง โคเอ็นไซม์ คิวเท็น 33.3 มก. สามารถช่วยลดความดันทั้งค่าบน และค่าล่างได้
  • มะเร็ง โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ต่อต้านมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
  • ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เพิ่มสาร Antibody ได้และเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรค
  • โรคพาร์คินสัน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยลดความผิดปกติของไมโตคอนเดรียที่พบในโรคพาร์คินสันได้ ช่วยให้อาการโรคพาร์คินสันลดลง
    • โคเอ็นไซม์ คิงเท็น 360 มก.ต่อวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ช่วยลดความผิดปกติทางสายตาและอาการอื่นๆ ในคนที่เป็นโรคพาร์คินสันได้
    • โคเอ็นไซม์ คิวเท็น 300-1,200 มก.ต่อวัน ป้องกันหรือลดอาการในผู้ป่วยพาร์คินสันให้ดีขึ้น
  • โรคอัลไซเมอร์ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ช่วยชะลอการพัฒนาของโรคอัลไซเมอร์ได้

skin-care-1122664_1920

“โคเอ็นไซม์ คิวเท็น” กับความสวยความงาม  ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ และช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายโดยรังสียูวีจากแสงแดด

การนำโคคิวเท็นไปผสมในเครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกผลเป็นอย่างไรบ้าง

  • จะดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้น้อย
  • สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังชั้นนอกได้ประมาณ 20%
  • สามารถซึมผ่านผิวหนังแท้ได้ประมาณ 3%
  • ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของโคเอ็นไซม์ คิวเท็นที่มีในผลิตภัณฑ์
  • ความสามารถของตัวกลางที่จะพาเข้าสู่ผิวหนัง หากตัวกลางมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้

สรุปได้แบบนี้ครับ “การได้รับจากอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่เลือด และอวัยวะต่างๆ ได้ดี ซึ่งจะให้ผลดีในด้านสุขภาพโดยรวมมากกว่ารับจากข้างนอกเข้ามา”

คอนเทนท์นี้ยาวสักหน่อยนะครับ แต่ผมบอกได้เลยว่ามันมีประโยชน์กับทุกคนที่ต้องการจะเปลี่ยนชีวิตให้มีความสุข สุขภาพดีได้ด้วย “โคเอ็นไซม์ คิวเท็น”

การเสริม โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นสิ่งที่จำเป็นและดีต่อสุขภาพ แต่เราต้องเลือกเป็นด้วยว่า โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ที่ดีต่อสุขภาพ และคุ้มค่า ต้องเลือกอย่างไร ? คอนเท็นหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังครับ อดใจรอนะคร้าบผม

คลิกลิงค์ ผลิตภัณฑ์โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สารอาหารเปลี่ยนชีวิต

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

การลดน้ำหนักที่ผิดวิธีส่งผลเสียอย่างไร

ลดน้ำหนักถูกวิธีหลายคนก็รู้ แต่ก็ไม่ทำ เพราะอาจจะช้าไม่ทันใจวัยสะรุ่น ยุคโซเชียลครองเมืองมันต้องเร็วทันใจ แค่นิ้วสัมผัสจอมือถือ แต่เราเคยรู้กันมั๊ยครับว่า ถ้าเราลดน้ำหนักผิดวิธี เพราะแค่ต้องการที่จะให้ผอมแบบทันใจ แล้วมันจะจะเกิดผลเสียกับตัวเรา ร่างกายเราอย่างไร รู้แล้วจะรู้ว่ามันเยอะมาก ถึงหมดลมหายใจได้เลยเชียว

thinking-2681494_1920

การลดน้ำหนักที่ผิดวิธี เช่น

  • กินยาลดน้ำหนัก ยาสารพัดสีจะไปสะกดความหิวของเรา ทำให้เราไม่หิว ไม่อยากกินอาหาร แบบนี้ผอมเป็นแบบซอมบี้เลยทีเดียว อาละวาดกัดกินไปทั่ว ขี้หงุดหงิด 

  • อดอาหาร คิดว่าเราอ้วนเพราะกินเยอะ เลยอดอาหารไม่กินมันซะเลย จะได้ผอม ก็ผอมสมใจ แต่สภาพดูไม่ได้ ทรุดโทรม

  • ลดน้ำหนักไวเกินไป ตอนกินอยากกินนานๆ เยอะๆ พออ้วนก็อยากผอมเร็วๆ หุ่นดีไวไว

  • ลดด้วยการกินพลังงานน้อยกว่า 800 แคลอรี่ กินแบบอดอยาก แต่น้อยมาก เหมือนแมวดม ต่ำกว่า 800 แคลอรี่ ร่างกายของเราไม่สามารถอยู่ได้ เพราะพลังงานไม่พอใช้ครับ ก็ผอมแบบโทรมๆ เหมือนทอม แฮงค์ ในหนังเรื่อง Cast Away 

  • สูตรต่างๆ สรรหาสารพัดสูตรลดเร็วเว่อร์วัง ส่วนใหญ่มาจากอินเตอร์เน็ต กินแค่อันนั้น อันนี้รับรองผอม แต่รู้มั๊ย! สารอาหารมันไม่ครบ ร่างกายต้องการสารอาหารหลากหลายเพื่อทำหลายหน้าที่

confused-2681507_1920

ผลเสีย ที่เกิดจากการลดน้ำหนักผิดวิธี

  • โยโย่ คือหลังจากออกจากการลดน้ำหนัก น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เพราะมวลกล้ามเนื้อหายไป ระบบเผาผลาญพัง ชีวิตแย่กว่าเดิมไปอีก

  • กล้ามเนื้อหาย เพราะได้สารอาหารไม่ครบ น้ำหนักที่ลดผิดวิธีทุก 4 กก. จะเป็นมวลกล้ามเนื้อเสีย 1 กก. ตัวเหี่ยวเชียว

  • ผิวเหี่ยว หย่อนคล้อย ก็เพราะสารอาหารไม่ครบ ทำให้มวลกล้ามเนื้อหาย อีลาสติน คอลลาเจน หาย สุดท้ายเหี่ยว ย่น

  • สารพิษเพิ่มขึ้น บางคนเกิดตับอักเสบได้ ผลจากยาที่กิน มันเป็นสารเคมี ส่งผลกับตับตรงๆ

  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ จากการขาดเกลือแร่ เป็นตะคริว ขาดสมาธิ ก็จากสารอาหารได้ไม่ครบ นานๆ ไปก็ส่งผลกับอวัยวะที่สำคัญ

การลดน้ำหนักที่ยั่งยืนคือยังไง

การออกกำลังกาย 20 – 30 % ควรออกทั้งแบบที่เป็นการเผาผลาญ และสร้างกล้ามเนื้อ

  • การเผาผลาญ เช่น การวิ่ง เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น ประเภทนี้มันจะเผาผลาญตอนที่เราเล่น หรือช่วงเวลาหนึ่ง

  • สร้างกล้ามเนื้อ เช่น เวทเทรนนิ่ง บอดี้เวท เป็นต้น ประเภทนี้จะสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มกล้ามเนื้อให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เมื่อเรามีกล้ามเนื้อมากขึ้น อัตราการเผาผลาญก็จะสูงตามไปด้วย ที่สำคัญ คือเผาผลาญตลอดเวลาเพิ่มขึ้น ได้รูปร่างที่ดูดี เฟิร์มด้วยครับผม

fitness-850602_1920

อาหาร 70 – 80 %  เราอ้วนเพราะ กิน มากกว่า ใช้ และสารอาหารไม่ครบถ้วน เลยเหลือเก็บสะสมไปเรื่อยๆ ผลอ้วน แต่ถ้าเราสามารถควบคุมการกินของเราให้น้อยกว่าใช้ได้ โดยต้องได้สารอาหารครบถ้วน น้ำหนักของเราก็จะลดลง เช่น เราสามารถลดได้วันละ 500 แคลอรี่ ครบ 1 สัปดาห์ 7 วัน เท่ากับ 500 x 7 = 3,500 แคลอรี่ น้ำหนักของเราจะลดลงไป 0.5 กก. เดือนนึงก็เท่ากับ 2 กก.

salad-374173_1920

สรุปได้ว่า เราไม่สามารถเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้เพียงอย่างเดียว เราต้องออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร เพื่อการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน ซึ่งมันต้องใช้เวลา วินัยในตัวเองพอสมควร คิดเสียว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ฝึกจิตใจของตัวเอง ชนะคนอื่นได้ ก็ไม่ภาคภูมิใจเท่ากับ เราสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ เพราะตัวเองนี่แหละ ยากที่สุดแล้ว และการลดน้ำหนักด้วยวิธีการที่ผิดวิธี ผิดธรรมชาติ จะส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเราในระยะยาว ก็ลองคิดดูว่าเรายังจะเลือกวิธีที่ผิดๆ อยู่อีกหรือเปล่า เดินทางผิดเสียเวลา เสียชีวิตได้ครับผม

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

ทำไมเราถึงลดน้ำหนักพร้อมกับเพิ่มกล้ามเนื้อไม่ได้


“พี่หนูอยากลดน้ำหนักแล้ว ขอมีกล้ามมีซิกส์แพคด้วยนะ”
อึ่ม! ใครๆ ก็อยากเป็นแบบนั้นหละครับ แต่มันไม่สามารถทำแบบนั้นได้พร้อมกันในคราวเดียวกันนะครับ “อ้าว! หนูนึกว่า ถ้าหนูผอมลงแล้ว หนูจะมีหุ่นแบบนั้นได้ มีกล้ามมีซิกส์แพคเลย” โอเค จะเล่าแจ้งแถลงไขให้ฟังละกันว่าทำไม….?

การลดน้ำหนัก คือ การลดมวลไขมันในร่างกายให้น้อยลง โดยเสียมวลกล้ามเนื้อให้น้อยที่สุด การที่เราบอกว่า ลดน้ำหนักได้ 2 โล 4 โล นั่นควรจะเป็นมวลไขมันที่ลดลง ไม่ใช่มวลกล้ามเนื้อครับ เพราะถ้าเราสูญเสียมวลกล้ามเนื้อจะส่งผลให้อัตราการเผาผลาญของเราลดลง ทีนี้พอเราออกจากโปรแกรมลดน้ำหนัก แล้วกินเท่าเดิม น้ำหนักของเราจะเพิ่มขึ้น หรือโยโย่

วิธีการลดน้ำหนักหรือไขมัน จะเกิดจากการที่ร่างกายรับพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป น้อยกว่าปริมาณที่เราใช้ออกไป ทำให้ร่างกายขาดแคลนพลังงาน ทำให้ร่างกายจำเป็นต้องนำพลังงานที่สะสมในรูปแบบต่างๆ มาใช้ สิ่งหนึ่งก็คือไขมันที่สะสมตามร่างกายนั่นเอง ทำให้มวลไขมันลดลง น้ำหนักลดลง ผอมลงนั่นเอง

การเพิ่มกล้ามเนื้อ คือ เกิดจากการฝึก หรือการที่เราออกกำลังกายกระตุ้นให้ร่างกาย สร้างกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องอาศัยโปรตีนและพลังงานที่มากพอ ผลที่ได้รับคือ กล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง

สรุปได้ว่า เราไม่สามารถทำได้ เพราะการลดน้ำหนัก คือแคลอรี่ที่รับต้องน้อยกว่าที่ต้องการ แต่การเพิ่มกล้ามเนื้อ คือแคลอรี่ที่รับต้องมากกว่าที่ต้องการ เห็นมั๊ยครับว่า มันแย้งกันอยู่ เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงทำพร้อมกันไม่ได้

S__4407299

ทำอย่างไรดี ก็ในเมื่อมันทำพร้อมกันไม่ได้ เราก็เลือกทางใดทางหนึ่งดิครับ แนะนำอย่างนี้ครับ

ถ้าต้องการลดน้ำหนัก หรือไขมัน ก็ไม่ต้องคิดเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อ เราแค่ทำอย่างไรที่จะลดไขมันอย่างไร ให้เสียมวลกล้ามเนื้อน้อยที่สุด

ถ้าต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ ก็ให้พุ่งเป้าไปที่การเพิ่มกล้ามเนื้อ ไม่ต้องสนใจการลดไขมัน หรือน้ำหนัก โดยคิดว่า จะเพิ่มกล้ามเนื้ออย่างไรให้ไขมันเพิ่มน้อยที่สุดก็โอเค

ตัวอย่างแนะนำถ้าอยากได้ทั้งสองอย่างนะครับ คือ เราต้องลดไขมันให้อยู่ในระดับที่พอใจ แล้วหลังจากนั้นถึงทำการเพิ่มกล้ามเนื้อ แค่นี้ก็ได้ทั้งสองอย่าง แต่ต้องทำทีละอย่าง และใช้เวลา วินัย ความอดทน เพื่อให้ได้มันมาครับ

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866

อ้วนลงพุง รู้ได้อย่างไร มีผลต่อร่างกายอย่างไร

ไม่น่าถามนะ ว่าอ้วนลงพุงหรือเปล่า ? ดูด้วยตาก็รู้  ใช่ครับ ดูด้วยตาก็รู้ แต่มันขนาดไหนกันที่เรียกว่า อ้วนลงพุง แล้วมันมีอะไรที่เป็นสัญญาณ หรือข้อบ่งชี้บ่งบอกว่าเราอ้วนลงพุงล่ะ ! มาดูกันครับ

bikini-841082_1280คนอ้วนลงพุงเราก็เห็นมากมายในเมืองไทยอันอุดมสมบูรณ์ของเรา ซึ่งก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไปแหละ แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่มันชัดเจน เจ๋งเป้ง คือ มีพุง ล้ำหน้ามากกว่าคนปกติทั่วไปนั่นเอง หรือหลายคนจะบอกว่ายืนตรง แล้วก้มมองปลายเท้าดูว่ามองเห็นหรือเปล่า ? ก็ได้ครับวิธีนั้น แต่เรามีวิธีที่เป็นหลักเป็นการหน่อย คือ การวัดที่รอบเอวซะเลย หาสายวัดมาวัดรอได้เลยครับ แล้วมาดูว่าผลจะเป็นอย่างไร โดยไม่ควรมีรอบเอวเกินจากนี้ มีค่าเกณฑ์แยกชายหญิงดังนี้ครับ เกินจากนี้ถือว่าอ้วนลงพุง

slimming-2728331_1920

ผู้ชาย ที่มีรอบเอวเกิน 90 เซนติเมตร (ประมาณ 35.5 นิ้ว)

ผู้หญิง ที่มีรอบเอวเกิน 80 เซนติเมตร (ประมาณ 31.5 นิ้ว)

เมื่อเรามีขนาดรอบเอวเกินมาตรฐาน แล้วยังไง ? ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ไม่มีอะไรก็ดีไปครับ แต่เรามักจะตรวจเจออาการอื่นๆ แอบแฝงมากับมวลไขมันรอบเอวของเราหลายอย่างด้วยกัน คือ

  • ความดันโลหิตสูง มากกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท
  • น้ำตาลในเลือดสูง ตั้งแต่ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
  • ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูง ตั้งแต่ 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
  • คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL Cholesterol) ต่ำกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรสำหรับผู้ชาย หรือต่ำกว่า 50 ลิลลิกรัมต่อเดซิลิตร สำหรับผู้หญิง

ส่งท้ายกันด้วยสัญญาณเตือนที่มาพร้อมกับความอ้วน

headache-2058476_1920บางครั้ง อาการปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะอาจเป็นสัญญาณที่กำลังบ่งบอกเราว่า เส้นเลือดสมองของเรากำลังทำงานผิดปกติ หรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเข้าขั้นเบาหวานอาจมีอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย หากความผิดปกติแบบนี้มาเยือนร่างกายเวลาเดียวกับที่รอบเอวที่เพิ่มขึ้น นั่นก็หมายความว่าโรคร้ายต่างๆ ได้เริ่มเข้าใกล้คุณมากกว่าที่เราคิดแล้วครับ

อยู่ที่พวกเราทุกคนแล้วละครับ ว่าอยากเก็บพุงไว้ หรือขจัดมันออกไป เพื่อสุขภาพดีมีสุขของเรา อยู่กันยาวๆ ปาย

ลิงค์แนะนำ ลดน้ำหนักด้วยบอดี้คีย์ (BodyKey) จาก 77 เหลือ69

ฝากช่วยกด Like กด Share ด้วย ขอบคุณครับผม

เป็นเพื่อนแชทพูดคุยกันได้ที่ Line id : chavanut

หรือถนัด Talk ก็นี่เลย! มือถือ : 080 966 6866